กลับไปหน้าค้นหา

นางพัชรี เรียบร้อย

  • Facebook ID: -
  • Line ID: -
  • Email: -

ที่อยู่ 15 หมู 5 ตำบล : ครน อำเภอ : สวี จังหวัด: ชุมพร
โทรศัพท์ : -
การศึกษา : อื่นๆ
ประวัติ :

ปลูกเพื่อกิน เพื่อขาย


ความสำเร็จ :

เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย


ความชำนาญ : ปลูกผักไร้ดิน


ข้อมูลปราชญ์ชาวบ้าน

  • ปลูกเพื่อกิน เพื่อขาย

  • ขั้นตอนและวิธีการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน



    1. การเพาะเมล็ด นำฟองน้ำสำหรับเพาะเมล็ดบรรจุใส่ถาดเพาะเมล็ด รดน้ำให้ชุ่ม โดยใช้มือกดฟองน้ำแล้วรดน้ำตาม จากนั้นใช้ไม้ปลายแหลมจุ่มน้ำและแตะที่เมล็ดพันธุพืชประมาณ 2-3 เมล็ด (ถ้าเป็นผักสลัดใส่ 1 เมล็ด ) หลังจากใส่เมล็ดครบทุกช่องแล้ว นำถาดเพาะเมล็ดไปวางไว้ในที่ร่ม คลุมด้วยผ้าทึบแสงเพื่อกระตุ้นการงอกของเมล็ด ทำการรดน้ำให้ชุ่มทุกวันเช้า เย็น หลังจากเพาะได้ 3 วันเมล็ดจะเริ่มงอก



    2. การอนุบาลต้นกล้า เปิดผ้าทึบแสงออกเพื่อให้ต้นกล้าได้รับแสง (โดยอาจใช้ตาข่ายพรางแสงชนิด 60 เปอร์เซ็นต์  2 ชั้นพรางแสง) ทำการอนุบาลรดน้ำเช้า-เย็น จนกระทั่งต้นกล้าสูงประมาณ 2-3 เซนติเมตร มีระบบรากและใบเลี้ยงที่สมบูรณ์ (ประมาณ 3-4 วัน หลังจากเปิดผ้าทึบแสง)



    3. การย้ายปลูก นำต้นกล้าที่มีอายุประมาณ 7-8 วัน ย้ายลงแผ่นปลูก โดยให้ยกแผ่นปลูกขึ้นมาแล้วสอดต้นกล้าเข้าไปทางด้านล่างของแผ่นปลูก แต่ถ้าหากปลูกในถ้วยปลูกให้ใส่ต้นกล้าลงในถ้วยปลูกก่อนแล้วจึงวางถ้วยปลูกลงบนแผ่นปลูกและให้รากสัมผัสกับน้ำ (ควรย้ายต้นกล้าลงแปลงปลูกในตอนเย็นเพื่อให้พืชปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้)



    4. การดูแลต้นกล้าหลังจากย้ายปลูก



    4.1 การเติมธาตุอาหาร หลังจากย้ายปลูกต้นกล้าผ่านไป 1 วัน ให้เติมสารละลายธาตุอาหาร A ทิ้งไว้ ประมาณ 4 ชั่วโมง (หรือเมื่อสารละลาย A ผสมกับเข้าน้ำทั้งหมด) หลังจากนั้นให้เติมสารละลายธาตุอาหาร B ลงไป (อย่าเติมสารละลาย A และ B พร้อมกัน เนื่องจากเมื่อสารละลาย A และ B ที่มีความเข้มข้นสูงผสมกันจะทำให้ธาตุอาหารตะกอน ซึ่งจะทำให้ธาตุอาหารอยู่ในรูปที่พืชไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้)



    4.2 ค่าปริมาณความเข้ม (Electrical conductivity ; EC) ของสารละลายธาตุอาหาร A และ B ที่เติมต้องมีความเหมาะสมต่อชนิดพืชที่ปลูก (ดังตารางที่ 1)



    4.3 ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของสารละลายธาตุอาหารที่พืชต้องการ (A+น้ำ+B =สารละลายธาตุอาหารที่พืชต้องการ)ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 5.5-6.5 แนะนำให้ใช้กรดไนตริก (HNO) และ โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH ) ปรับค่าความเป็นกรดเป็นด่าง เนื่องจากแตกตัวแล้วจะให้ธาตุไนโตรเจนและโพแทสเซียม ซึ่งพืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ด้วย



    ดังนั้น ควรปรับค่า EC และค่าpH ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมตลอดระยะเวลาการเพาะปลูก แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนถึงอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 1 สัปดาห์ (ตารางที่ 2) ควรงดเติมธาตุอาหารให้เติมแต่น้ำเพื่อป้องกันและลดการสะสมธาตุอาหารต่างๆในพืช โดยเฉพาะการสะสมไนเตรท



    ตารางที่ 1 ค่า EC ที่เหมาะสมของพืชแต่ละชนิด






































    ชนิดของพืช ค่า EC (mS/cm)
    คะน้าเห็ดหอม 4.5
    คะน้าฮ่องกง 4.5
    ผักสลัด 1.8-2.0
    ผักกาดขาว (ไดโตเกียว) 3.5
    กวางตุ้งฮ่องเต้ 3-4
    ผักโขม (โขมไวท์ลีฟ) 2.0-2.5
    ผักบุ้ง 2.0


    ที่มา : ศูนย์เกษตรกรรมบางไทร



    ตารางที่ 2 อายุการเก็บเกี่ยวของผักชนิดต่างๆ


































































    กลุ่มผัก ผักในกลุ่ม อายุเก็บเกี่ยว นับจากวันเพาะเมล็ด(วัน) อายุเก็บเกี่ยว นับจากย้ายลงแปลงปลูก(วัน)
    ผัดสลัด กรีนโอ๊ค  บัตเตอร์เฮด  กรีนคอส 35-40 28-30
      เรดโอ๊ค  เรดคอรัล 35-45 30-35
      มิซูน่า 27-30 20-25
    ผักคะน้า คะน้าฮ่องกง  คะน้าเห็ดหอม 32-35 25-30
    ผักกาดขาว ผักกาดขาวไดโตเกียว 30 22-25
    ผักกวางตุ้ง กวางตุ้ง  ฮ่องเต้ 30-35 22-25
      ทาห์ไช่ (ทาห์ซอยส์) 32-35 25
    ผักโขม โขมขาว  โขมแดง 24-25 17-18
    ผักบุ้ง ผักบุ้งจีน 20-21 14-15
  • เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย

  • -
  • -
  • -