ที่อยู่ 22/3
หมู 4 ตำบล : กรูด อำเภอ : พุนพิน จังหวัด: สุราษฎร์ธานี
โทรศัพท์ : -
การศึกษา : มัธยมศึกษาปีที่ 3
ประวัติ :
มีครอบครัวตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านสหกรณ์ และมีความสนใจในการเลี้ยงด้วงสาคูก่อนเป็นอันดับแรก ต่อมาสนใจในการนำน้ำมันด้วงไปสกัดเพื่อทำเป็นผลิตภัณฑ์สบู่ เพื่อบำรุงผิว รักษาสิว ฝ้า และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
มีความขยัน และเอาใจใส่ในทุกกระบวนการ ตั้งแต่คัดเลือกวัตถุดิบ กระบวนการผลิตที่สะอาด ถูกสุขอนามัย
มีครอบครัวตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านสหกรณ์ และมีความสนใจในการเลี้ยงด้วงสาคูก่อนเป็นอันดับแรก ต่อมาสนใจในการนำน้ำมันด้วงไปสกัดเพื่อทำเป็นผลิตภัณฑ์สบู่ เพื่อบำรุงผิว รักษาสิว ฝ้า และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
การเลี้ยงด้วงสาคู
วัสดุอุปกรณ์
1.แป้งสาคู ได้จากต้นสาคูที่มีอยู่ทั่วไปในท้องถิ่น สาคูที่ใช้เลี้ยงด้วงได้ดีจะต้องเป็นสาคูที่เริ่มออกดอก หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าต้นที่แตกเขากวาง เพราะเป็นช่วงที่สะสมแป้งในลำต้น พร้อมสำหรับการให้ผลผลิตและตายในที่สุด ต้นสาคูก่อนหรือหลังระยะที่แตกเขากวาง พ่อแม่พันธุ์จะไม่ลงตัวด้วง (พ่อแม่พันธุ์จะไม่วางไข่)
ทำไมต้องนำต้นสาคูที่ได้มาแช่น้ำ ? การนำแป้งสาคูที่ได้มาใหม่เลี้ยงด้วงสาคูนั้นไม่สามารถทำได้เนื่องจากมีความร้อนและมียาง
ถามว่าแล้วเกิดอะไรขึ้น ? ตอบคือพ่อแม่พันธุ์ไม่ให้ตัวอ่อน หากให้ตัวอ่อนก็จะตาย เพราะด้วงสาคูไม่ชอบอาหารที่ร้อนและมียางผสม ดังนั้นจึงต้องนำต้นสาคูแช่น้ำหรือวางทิ้งให้ตากแดดตากฝนก่อนประมาณ 7 วัน จึงนำมาบดเพื่อเลี้ยงด้วงต่อไป
ระหว่างแช่น้ำกับวางทิ้งไว้อะไรดีกว่ากัน ? การแช่น้ำจะดีกว่าเพราะสามารถเก็บท่อนสาคูที่ยังไม่ได้บดไว้ได้นานโดยไม่แห้งเสีย สามารถเก็บไว้ได้ถึง 1 เดือน หากวางไว้ในพื้นที่ร่ม อยู่ได้ประมาณ 7 – 10 วันเท่านั้นหลังจากนั้นไม่สามารถบดได้เนื่องจากแป้งจะแห้ง
2.พ่อแม่พันธุ์ พ่อแม่พันธุ์ด้วงที่ทำการเลี้ยงอยู่ในปัจจุบันได้จากการเพาะเลี้ยงเอง
การเพาะเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ยากหรือไม่? ไม่ยาก โดยการคัดด้วงที่มีขนาดโตเต็มที่และสมบูรณ์ การเลี้ยงเพื่อทำพ่อแม่พันธุ์สามารถทำได้ดังนี้
1.นำด้วงที่คัดแยกได้ตามต้องการ เพื่อให้คุ้มทุนต้องเลี้ยงอย่างน้อย 100 ตัว
2.นำสาคูบดแล้ววางสลับกับไยมะพร้าวเป็นชั้นๆหลายๆชั้น ในกะละมัง
3.นำตัวมาปล่อยลงไปในกะละมังที่ใส่อาหารและใยมะพร้าว
4.นำเอาเปลือกต้นสาคูมาปิดคลอบ ปิดฝาทับ ไม่ให้มีน้ำเกิน 5 % เพราะจะทำให้ด้วงไม่เข้าดักแด้ และจะตายในที่สุด
3.กะละมังพร้อมฝาปิด มี 2 ขนาด คือขนาดเล็ก กว้าง 40 เซนติเมตร ยาว 20 เซนติเมตร และขนาดใหญ่ กว้าง 80 เซนติเมตร สูง 20 เซนติเมตร หากเลี้ยงไม่มากแนะนำให้ใช้กะละมังเล็ก เพราะหากผิดพลาดจะไม่สูญเสียค่าใช้จ่ายมากนัก แต่หากชำนาญแล้วและมีพื้นที่มาก มีเวลาหรือเลี้ยงด้วงอย่างเดียวสามารถใช้กะละมังขนาดใหญ่ได้
4.หัวเชื้อจุลินทรีย์ ช่วยปรับสมดุลจากการเน่าของอาหารในกะละมังที่เกิดแก๊สไม่ให้ร้อนเกินไป
5.กากน้ำตาล เป็นอาหารของจุลินทรีย์
6.อาหารหมูใหญ่ ทำไมต้องเป็นอาหารหมูใหญ่หรือหมูขุน ? ผู้เลี้ยงบอกว่าอาหารที่เป็นส่วนผสม ได้ทดลองมาหมดแล้ว ทั้งอาหารไก่ อาหารหมูเล็ก อาหารปลา และอาหารหมูใหญ่ ไม่มีอาหารชนิดใดเทียบเท่าอาหารหมูใหญ่ได้ ทั้งอัตราการเจริญเติบโต การเกิดหนอนอย่างอื่นที่ไม่ใช่ด้วง และที่สำคัญอัตราการตายของด้วงอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ
การเลี้ยงและการดูแลรักษา
การผสมอาหารเลี้ยงด้วงสาคู
1. แป้งสาคูที่บดแล้ว 1 ปีบ ผสมกับหัวเชื้อจุลินทรีย์ 1 ช้อนโต๊ะ กากน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ อาหารหมูใหญ่ 0.5 กิโลกรัม น้ำประมาณ 2 ลิตร
2.นำมาใส่ในกะละมัง
3.หมักตั้งไว้ 2-3 ชั่วโมง
ทำไมต้องหมักทิ้งไว้? ไม่หมักไม่ได้หรือ? ตอบว่าถ้าไม่หมักด้วงจะลงไปอาศัยอยู่ด้านล่างและกินอาหารได้ไม่ดี จึงต้องหมักอาหารไว้ 2-3 ชั่วโมง
การเลี้ยงด้วง
เมื่ออาหารที่เตรียมพร้อมแล้ว นำพ่อแม่พันธุ์ 4-5 คู่ มาปล่อย รู้ได้อย่างไรว่า 4-5 คู่ ? ผู้เลี้ยงแนะนำว่า ให้สังเกตตัวผู้งวงข้อที่ 1 มีขนขึ้นชัดเจน ส่วนแม่พันธุ์ไม่มี ตัวผู้หรือพ่อพันธุ์จะมีขนาดเล็กกว่าแม่พันธุ์ จุดคุ้มทุนของการเลี้ยง การเลี้ยงหากใส่พ่อแม่พันธุ์มากเกินไปไม่ได้เป็นผลดี เนื่องจากเป็นการเพิ่มต้นทุนของพ่อแม่พันธุ์ ด้วงที่ได้มากเกินไปทำให้อาหารไม่พอ ส่งผลให้ด้วงมีขนาดที่แตกต่างกันมากเกินไป หลังจากปล่อยพ่อแม่พันธุ์ 10-15 วัน ให้จับขึ้นมาจากกะละมัง จะเห็นว่าตัวด้วงจะมีขนาดเท่าหัวไม้ขีดไฟ
พ่อแม่พันธุ์นำไปไหน? พ่อแม่พันธุ์ที่จับขึ้นมานี้สามารถนำไปใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ได้อีก 2 ครั้ง ดังนั้นต้องนำมาพักฟื้นอย่างน้อย 3 วัน โดยอาหารที่นำมาเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ช่วงพักฟื้นคือกล้วยน้ำว้าสุก ตัวเต็มวัยจะกินกล้วย 1 ผล/25 ตัว/ 1 คืน พร้อมกับสาคูบด
ตัวด้วงขนาดหัวไม้ขีดไฟจะเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ ไม่ต้องดูแลอะไรมาก ยกเว้น ความชื้นต้องรักษาให้ได้ ประมาณ 70-80 % ทำไมอาหารที่ต้องรักษาความชื้น 70-80 % ? หากอาหารมีความชื้นมากเกินไปจะทำให้พ่อแม่พันธุ์ตาย หรือไข่ที่ออกมาไม่ฟักเป็นตัวด้วงและตายในที่สุด หรือแม่พันธุ์อาจจะไม่ว่างไข่ หากความชื้นน้อย ด้วงจะมีขนาดเล็ก(หลังจากที่นำพ่อแม่พันธุ์ออกแล้ว) ปริมาณความชื้น 70-80 % (ทดสอบด้วยการกำอาหารเป็นก้อนและมีน้ำไหลออกระหว่างนิ้วมือเล็กน้อย) ตัวด้วงจะเจริญได้ดี ให้น้ำหนัก จำนวนที่มาก (200 ตัว/กก.) อัตราการตายน้อย
การเลี้ยงตัวด้วงอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ ? ไม่เพิ่มอาหารใหม่หรือเสริมอาหารใหม่เข้าไปหลังจากเลี้ยงในกะละมัง เพราะอาหารใหม่จะมีความร้อนสูงทำให้ด้วงไม่กินอาหาร ตัวเล็กและตายในที่สุดต้องดูแลเรื่องของความชื้นให้ได้ 70-80 % อยู่เสมอ กำจัดแมลงศัตรูไม่ให้เข้ามารบกวน ห้ามใช้สารฆ่าแมลงในขณะที่พ่อแม่พันธุ์วางไข่เพราะจะทำให้พ่อแม่พันธุ์ไม่วางไข่หรือไข่จะลีบ ต้องนำพ่อแม่พันธุ์ออกจากกะละมังเพาะไม่เกิน 15 วัน
การขยายพันธุ์
นำด้วงที่คัดแยกได้ตามต้องการแล้ว เพื่อให้คุ้มทุนต้องเลี้ยงอย่างน้อย 100 ตัว นำสาคูบดวางสลับกับใยมะพร้าวเป็นชั้นๆ ในกะละมัง นำตัวมาปล่อยลงไปในกะละมังที่ใส่อาหารและใยมะพร้าวไว้แล้วนำเอาเปลือกต้นสาคูมาปิดคลอบไว้แล้วใช้ฝาปิดทับอีกที ห้ามให้มีน้ำเกิน 5 % เพราะจะทำให้ด้วงไม่เข้าดักแด้ แล้วตัวด้วงจะตายในที่สุด หนอนด้วงจะเข้าดักแด้ภายใน20-30 วัน ให้ทำการเก็บฝักดักแด้ออกให้ใช้สาคูบดเพียงอย่างเดียว รอ 5-10 วันตัวเต็มวัยจะเจาะฝักดักแด้ออกมา ให้ตัวเต็มวัยระหว่างตัวพ่อกับตัวแม่ได้ผสมกันประมาณ 5-7 วันสามารถนำไปใช้ในการเลี้ยงได้ ราคาพ่อแม่พันธุ์ 4 บาท/ ตัวหรือ 32-40 บาท/การเลี้ยงหนึ่งครั้ง หรือกะละมังเพาะละ 400 บาท
การจำหน่าย
การจำหน่ายในปัจจุบันสมาชิกจำหน่ายอยู่ 2 ลักษณะคือ
1.ขายปลีก กิโลกรัมละ 200-250 บาท ขายในท้องถิ่นหรือในพื้นที่ใกล้เคียงกัน
2.ขายส่งราคากิโลกรัมละ 180-200 บาท(ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าจากต่างจังหวัด)
ข้อมูลของพันธุ์ด้วง
ด้วงมี 3 พันธุ์ คือ
1.ตัวสีเหลืองส้มจุดหัวดำ ให้ตัวด้วงน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับพันธ์ไต้หวัน ด้วงตัวใหญ่ (170 ตัว/ก.ก.)
2.ตัวสีดำ หัวขีดส้มหรือเส้นสีส้มตามยาวของหัว ให้ตัวด้วงน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับพันธ์ไต้หวัน ตัวใหญ่ (170-190 ตัว/ก.ก.)
3.ด้วงพันธุ์ไต้หวัน เป็นพันธุ์ตัวเล็กที่สุด ให้จำนวนที่มาก น้ำหนักเบา (200 ตัว/กก.)
มีความขยัน และเอาใจใส่ในทุกกระบวนการ ตั้งแต่คัดเลือกวัตถุดิบ กระบวนการผลิตที่สะอาด ถูกสุขอนามัย