ที่อยู่ 63
หมู 2 ตำบล : กรูด อำเภอ : พุนพิน จังหวัด: สุราษฎร์ธานี
โทรศัพท์ : -
การศึกษา : ประถมศึกษาปีที่ 6
ประวัติ :
เนื่องจากได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ทำให้มีโอกาสได้เจอกับ “โกเซี้ยง” ผู้ผลิตแค็ปหมูจาก อ.กาญจนดิษฐ์ จึงได้ประสาน ขอเรียนรู้สูตรการทำแค็ปหมู จากโกเซี้ยง และได้ทดลองทำจนสามารถนำออกจำหน่ายได้ ในปัจจุบันได้จำหน่ายในตลาดอำเภอพุนพิน กม.18 อ.บ้านนาเดิม อ.บ้านนาสาร ทำให้มีรายได้เสริมในครอบครัว นอกเหนือจากทำอาชีพทำสวน และปลูกผัก
- มีความขยัน อดทน เปิดใจที่จะเรียนรู้ และรับคำติชม เพื่อนำมาพัฒนาให้ดีขึ้น
-วัตถุดิบที่เลือกใช้ต้องมีคุณภาพ
-กระบวนการผลิตต้องสะอาด ปลอดภัยจากสิ่งปลอมปน
-รสชาติต้องอร่อย และคงที่
เนื่องจากได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ทำให้มีโอกาสได้เจอกับ “โกเซี้ยง” ผู้ผลิตแค็ปหมูจาก อ.กาญจนดิษฐ์ จึงได้ประสาน ขอเรียนรู้สูตรการทำแค็ปหมู จากโกเซี้ยง และได้ทดลองทำจนสามารถนำออกจำหน่ายได้ ในปัจจุบันได้จำหน่ายในตลาดอำเภอพุนพิน กม.18 อ.บ้านนาเดิม อ.บ้านนาสาร ทำให้มีรายได้เสริมในครอบครัว นอกเหนือจากทำอาชีพทำสวน และปลูกผัก
วิธีการทำแคบหมู,การเตรียมส่วนผสม,การทอดแคบหมู,เทคนิคในการทอด,การบรรจุและการเก็บรักษาแคบหมู
วิธีการทำแคบหมู
1. แคบหมู นิยมทำจากหนังหมู เนื่องจาก หนังหมูมีราคาถูก หาง่าย
2. การทำแคบหมู เป็นวีธีการแปรรูปหนังหมู ให้เป็นอาหาร ที่เก็บไว้ได้นาน มีรสชาติอร่อย ทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าของหนังหมู ให้มีราคาสูงขึ้นด้วย
การเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำแคบหมู ประกอบด้วย
1. กระทะสำหรับทอด 1 ใบ
2. กะละมังขนาดกลาง 2 ใบ
3. อั้งโล่ หรือเตาไฟขนาดใหญ่ 1 ใบ
4. ฟืนหรือถ่านตามสมควร
5. ปี๊บหรือหม้อเคลือบมีฝาปิด 2 ใบ
6. ตะหลิวมีด้ามยาว 1 อัน
7. กระชอนตักแคบหมูจากกระทะ 1 อัน
8. ตะกร้าไม้ไผ่สำหรับพักน้ำมัน 1 ใบ
9. ตราชั่งสำหรับชั่งหนังหมูและแคบหมู
10.ถุงพลาสติกขนาดต่าง ๆ และยางรัดของ
11.กระดาษซับน้ำมัน
ส่วนผสมในการทำแคบหมู ประกอบด้วย
1. เกลือ เป็นเครื่องปรุงที่เพิ่มรสชาติแคบหมูให้มีรสเค็ม กลมกล่อม
2. ผงชูรส เป็นเครื่องปรุงเสริมแต่งให้แคบหมูรสชาติดียิ่งขึ้น ควรเลือกซื้อผงชูรสที่มีคุณภาพดีพอสมควร
3.ซีอิ๊วขาว ใช้สำหรับแต่งสี และปรุงให้แคบหมูมีสีเข้ม มีรสและกลิ่นน่ารับประทาน
4.น้ำมัน ใช้สำหรับทอดและต้มแคบหมู ควรเป็นน้ำมันใหม่ สะอาด ไม่เหม็นหืน และไม่มีสีดำคล้ำ
ส่วนผสม(ทำจำหน่าย)
1. หนังหมู 10 กิโลกรัม (นำมาต้มก่อน)
2.เกลือ 1 1/4 ถุง ถุงละ 100 กรัม
3.ผงชูรส 4 ช้อนโต๊ะ
4.ซีอิ๊วขาวหรือดำ 1 ช้อนโต๊ะ
ส่วนผสม (สำหรับรับประทานในครอบครัว)
1. หนังหมู 2 กิโลกรัม
2. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
3. ผงชูรส/ผงปรุงรส
4. ซีอิ๊วขาวหรือดำ ½ หรือ 1 ช้อนชา
หมายเหตุ หากใช้ซีอิ๊วดำให้ลดปริมาณลงครึ่งหนึ่งของซีอิ๊วขาว
ข้อแนะนำ
1. ส่วนผสมสำหรับทำขายและส่วนผสมสำหรับทำรับประทานในครอบครัว หากประสงค์จะทำแคบหมูจำนวนมากหรือน้อยกว่านี้ ก็ให้เพิ่มหรือลดส่วนผสม ลงตามต้องการ หากจะทำสำหรับบริโภคในครอบครัว ควรจะใช้หนังหมูไม่น้อยกว่า 2 กิโลกรัม มิเช่นนั้นจะได้แคบหมูที่ไม่พองเท่าที่ควร
2. ถ้าใส่ส่วนผสม ซีอิ๊วมากเกินไป จะมีผลทำให้แคบหมูไม่พ่อง
3. ถ้าใช้หนังหมูที่ติดมันมากเกิน 1 นิ้ว จะทำให้แคบหมูพองนิ้ว
4. ตามเกณฑ์ปกติ แคบหมูที่ได้รับจากการทอดหนังหมูจะได้น้ำหนัก 1 ใน 3 ของน้ำหนักหนังหมู ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนมันที่ติดกับหนังหมูที่ใช้ในการทำแคบหมู หากมีมันมากก็จะได้แคบหมูจำนวนน้อย แต่ได้น้ำมันมากตามส่วน
ขั้นตอนการทำแคบหมู
1. นำหนังหมูสดที่ซื้อมาทำความสะอาด หมักกับเครื่องปรุง เกลือ ผงชูรส/ผงปรุงรส ซีอิ๊วขาว ไว้ประมาณ 10-30 นาที (ถ้าต้องการให้รสชาติเข้มข้นก็หมัก 30 นาที)
การทำความสะอาดหนังหมู การทำความสะอาดหนังหมู มีขั้นตอนการทำดังนี้
1.1. นำหนังหมูที่เลือกอย่างดีแล้วมาทำความสะอาด โดยการใช้ใบมีดโกน ชนิดมีด้าม ขูดสิ่งสกปรก ที่ติดมากับหนังหมูออก พร้อมขูดขนหมู หรือถอนขนหมู ออกให้หมด แล้วจึงล้างน้ำสะอาด เทใส่ตะกร้าพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
1.2. ในกรณีที่หนังหมูมีกลิ่นไม่สะอาดเพราะเก็บไว้นาน มีวิธีทำความสะอาด และขจัดกลิ่น นอกจากทำการขูดสิ่งสกปรกและขนออกแล้ว ให้นำไปล้างน้ำ ผสมสารส้ม อย่างเจือจาง แล้วจึงนำไปล้างน้ำให้สะอาดอีกครั้งหนึ่ง หลังจากหั่นหมู เป็นชิ้นแล้ว
|
2.นำหนังหมูที่หมักกับเครื่องปรุง แล้วมาต้มกับน้ำมันให้สุก (ใช้น้ำมันปาล์มในการต้ม) เพื่อไล่น้ำมันออกจากหนังหมู โดยต้มประมาณ 5 นาที เมื่อหนังหมูเย็น ให้นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 2.1การต้มหนังหมูด้วยน้ำมันให้สุก 2.2. นำหนังหมูที่ต้มสุกแล้วมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ การหั่นหนังหมูก็มีบทบาทสำคัญในอันที่จะทำให้หนังหมู ที่ทอดเป็นแคบหมู แล้ว มีลักษณะพองมาก หรือน้อย และเป็นเส้นตรง หรือขดงอเป็นก้อนกลม ชวนรับประทาน ไม่น้อยไปกว่าขนาดที่ตัด ฉะนั้น ในการหั่นหนังหมู จะต้องคำนึงถึง ลักษณะของหนังหมู และขนาดที่ตัดไปพร้อมกันด้วย จึงจะได้ แคบหมู ที่มีลักษณะ พอง และขดงอเป็นก้อนกลมน่ารับประทาน แบ่งการหั่นได้ 2 ขั้นตอน ดังนี้ 3.นำหมูที่หั่นเป็นชิ้นแล้วมาต้มไล่น้ำมัน (วิธีนี้ ไม่ต้องนำหนังหมูไปตากแดด) โดยนำกระทะ ตั้งไฟใช้ความร้อนประมาณ100-110 องศา ใส่น้ำมันลงในกระทะ ความร้อนได้ที่ให้นำหนังหมูที่หั่นแล้วใส่ลงไปเพื่อไล่น้ำมัน ให้สังเกตว่า จะมี น้ำมันลอยออกมาบ้างแล้ว หากหนังหมูมีมันติดมาก ก็ไม่ต้องเติม น้ำมัน ที่สะอาด และบริสุทธิ์ลงไป แต่ถ้าหนังหมูมีมันติดน้อย หรือไร้มันก็ให้เติมหนังหมู ลงไป พอสมควร เพื่อป้องกัน มิให้หนังหมูติดก้นกระทะและจับเป็นก้อน ให้หนังหมู ถูกความร้อนโดยทั่วกัน ในขณะเดียวกัน ก็คอยแยกหนังหมูมิให้ติดกัน เมื่อหนังหมูที่ต้มหดตัวและมีน้ำมันออกมามากพอสมควรแล้ว จะสังเกต เห็นว่าหนังหมูลอยตัวและไม่ติดก้นกระทะ ให้เพิ่มความร้อน ของเชื้อเพลิงขึ้นเป็น 130 องศาเซลเซียส (น้ำมันจะเดือดพล่าน) การต้มนี้เป็นขั้นตอน เพื่อให้หนังหมูสุก เหลืองและเกือบจะกรอบ โดยผ่านขั้นตอนสุกเปื่อย และหนังหมูจะเกาะกัน เป็นก้อน แล้ว ในขณะเดียวกันก็ต้องคนไปเรื่อย ๆ แต่อาจจะคนน้อยลง กว่า ตอนแรก เพื่อมิให้หนังหมูไหม้ และให้โดนความร้อนโดยทั่วถึงกัน ต้มต่อไป ประมาณ 1 ชั่วโมง ขั้นตอนนี้จะสังเกตได้ว่า หนังหมูจะแตกเสียงดัง มีน้ำมันกระเด็น ออกมา ในขณะเดียวกัน น้ำมันก็จะออกมามากจนท่วมหนังหมูและเดือดพล่าน ในที่สุดหนังหมูจะค่อย ๆ ลอยตัวจากน้ำมัน มีสีเหลืองเข้มขึ้น และมีเสียงแตก ดังเปาะแปะ จะสังเกตเห็นว่ามีจุดพองเป็นตุ่ม ๆ เกิดขึ้นรอบ ๆ หนังหมู ขั้นตอนนี้ อาจจะต้องลดความร้อนลงบ้าง เพื่อมิให้ไหม้ คนต่อไปอีกสักครู่ ลองเอามือ จับหนังหมูดู ถ้าเห็นว่ามีลักษณะแข็งตัวพอสมควร และมีจุดพอง เกิดขึ้นโดยรอบ ก็เป็นอันว่าใช้ได้ ให้รีบถอนไฟออกทันที (ดับไฟจนหมดเตา) ขั้นตอนนี้ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง รวมใช้เวลาต้มประมาณ 2 ชั่วโมง (ในกรณีทำ แคบหมู เชิงธุรกิจ) เมื่อต้มหนังหมูจนได้ที่แล้ว มีขั้นตอนการทำ ที่สำคัญอันจะมีผลให้หนังหมูพอง เป็นแคบหมูลักษณะที่ดีหรือไม้ ซึ่งแยกปฏิบัติได้ 3 วิธี ดังนี้ วิธีที่ 1
วิธีที่ 2 วิธีที่ 3 |
3.การทอดแคบหมู
นำหนังหมูที่ต้มไล่น้ำมันเรียบร้อยแล้ว มาทอด โดยเตรียมเชื้อเพลิงให้ร้อนพอสมควร (100 องศา) ให้น้ำมันที่ ใช้ทอดหนังหมูร้อนจัดแล้ว สังเกตได้จากมีควันสีเขียวเกิดขึ้น ทดลอง โดยเอาหนังหมูที่เตรียมไว้หย่อนลงไปในกระทะ 1- 2 ชิ้น ก่อน ถ้าหนังหมูจม และลอยตัวขึ้นมาช้า ๆ แสดงว่าน้ำมันยังไม่ร้อนพอ ให้รอสักครู่ หนึ่งแล้วจึงทดลองใหม่ จนเห็นว่าหนังหมูลอยตัวขึ้นมาทันที ก็เป็นอันว่าน้ำมันร้อนได้ที่แล้ว พร้อมที่จะทำการทอดแคบหมูต่อไป
ในการทอดหนังหมูต้ม ให้เป็นแคบหมูนี้ ให้ใส่พอประมาณ ดูว่ามีเนื้อที่เหลือพอที่จะให้หนังหมูพองตัวแล้วไม่เบียดกันจนเกินไป
เมื่อใส่หนังหมูต้มลงไปทอดในน้ำมันที่ร้อนจัดแล้วให้ใช้ตะหลิวโปร่งคอยกด หนังหมู ที่ลอยขึ้นมา จมลงไปในน้ำมันให้มากที่สุด ในขณะเดียวกันก็พยายามคนพลิกกลับข้างล่าง และแกว่งตะหลิวโปร่งไปมาสลับกัน เพื่อให้หนังหมูขยายตัวและได้รับความร้อนจากน้ำมันโดยทั่วกัน ทอดต่อไปจนเห็นว่าแคบหมูพองตลอด ทั้งก้อนและมีสีเหลืองกรอบได้ที่แล้ว จึงตักแคบหมูขึ้นสะเด็ดน้ำมัน หรือใช้กระดาษซับน้ำมัน ทำการซับน้ำมันอีกครั้งหนึ่งก็ได้ พักทิ้งไว้ให้เย็น เตรียมบรรจุต่อไป
- มีความขยัน อดทน เปิดใจที่จะเรียนรู้ และรับคำติชม เพื่อนำมาพัฒนาให้ดีขึ้น
-วัตถุดิบที่เลือกใช้ต้องมีคุณภาพ
-กระบวนการผลิตต้องสะอาด ปลอดภัยจากสิ่งปลอมปน
-รสชาติต้องอร่อย และคงที่
-การเลือกหนังหมู หนังหมูเป็นวัตถุดิบหลักและเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการทำแคบหมู แคบหมู จะอร่อย มี ลักษณะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับหนังหมู ฉะนั้นจึงมีความจำเป็น อย่างิยิ่งที่จะต้องเลือกหนังหม ูที่เหมาะสมในการทำแคบหมูมากที่สุดและดีที่สุด
การเลือกหนังหมู ควรเป็นหนังหมูที่ได้จากข้างลำตัว และหนังสะโพก เป็นหนังหมู ใหม่ ไม่มีกลิ่นเหม็น สะอาด มีสีขาวอมชมพูจาง ๆ ไม่มีสีซีดคล้ำ ไม่มี ขนติด และต้องไม่เป็นหนังที่ได้จากหมู ที่มีอายุน้อย เกินไป ควรจะมีอายุระหว่าง 3 - 6 เดือน
-การบรรจุและการเก็บรักษาแคบหมู
แคบหมูเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากหนังหมูทอด มีลักษณะกรอบ ฉะนั้นในการเก็บรักษา ต้องคำนึงถึงการรักษาคุณค่าทางอาหาร และรสชาติของแคบหมู ให้มีลักษณะกรอบ ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน
ดังนั้น ในการเก็บรักษาจะต้องมิให้ถูกความชื้น โดยการเก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท และห่อหุ้มแคบหมูด้วยถุงพลาสติก รัดยางยึดให้แน่น ไม่ให้อากาศเข้าได้ ถ้าจำนวนไม่มาก อาจจะใส่ถุงพลาสติก รักปากถุงให้แน่น ด้วยยางรัดของ แล้วนำเก็บเข้าตู้เย็น จึงจะสามารถเก็บรักษาไว้หลายวัน โดยคงรสชาติเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ควรเก็บไว้นานเกินไป (ไม่ควรเกิน 5 วัน)
สำหรับการบรรจุถุงเพื่อจำหน่ายนั้น ก็ใช้วิธีบรรจุตามที่กล่าวข้างต้น เพียงแต่บรรจุตามราคาจำหน่ายปลีกและส่ง ตามความ เหมาะสมของแต่ละท้องถิ่น และความพอใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย สำหรับราคาจำหน่ายโดยทั่วไป ราคากิโลกรัมละ 120-150 บาท