การเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่
โดย : นายจะนุ จะโพ้ะ ตำแหน่ง : ปราชญ์ชุมชน วันที่ : 2017-07-04-12:17:05ที่อยู่ : 273 ม.3 ต.บ้านหลวง
ความเป็นมา / แรงบันดาลใจ / เหตุผลที่ทำ ->
อาชีพเลี้ยงไก่ไข่ เป็นอาชีพที่ได้รับความนิยม เพราะนอกจากจะได้ไข่ไว้บริโภคภายในครัวเรือนแล้ว ยังสามารถจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกร อีกทั้งการลงทุนก็ไม่มาก เลี้ยงง่าย ใช้เนื้อที่น้อย
วัตถุประสงค์ ->
การเลี้ยงไก่ไข่สามารถทำการเลี้ยงได้ 2 วิธี
การเลี้ยงแบบขังรวม เป็นการเลี้ยงไก่แบบเลี้ยงรวมกันในโรงเรือนขนาดใหญ่ และรองพื้นด้วยวัสดุรองพื้น วิธีนี้เป็นที่สนใจจากผู้เลี้ยงในปัจจุบันอย่างมาก โรงเรือน และอุปกรณ์ในการเลี้ยงไก่ไข่ ต้องแข็งแรง กันแดด กันฝน กันลมได้ และมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ดูแลวัสดุรองพื้นอย่าให้แฉะหรือแข็งเป็นแผ่น หรือมีกลิ่นเหม็นของแก๊สแอมโมเนีย ต้องคุ้ยและพลิกกลับอย่างสม่ำเสมอ
การเลี้ยงแบบกรงตับ เป็นกรงใส่ไก่ไข่ที่มีทั้งแบบชั้นเดียว และหลายชั้นซ้อนกันเป็นที่นิยมมาก ชั้นเดียว 2 ด้าน ด้านละ 6 ช่อง ชุดหนึ่งเลี้ยงได้ 12 ตัว ติดตั้งอุปกรณ์ให้น้ำให้อาหารแบบกะทัดรัด ส่วนใหญ่จะเป็นไก่สาว เป็นวิธีที่ผู้เลี้ยงไก่เป็นอาชีพหรือเพื่อการค้านิยมกันมาก เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาเลี้ยงดูไก่เล็กหรือไก่รุ่น นอกจากนี้โรงเรือนก็สร้างไว้เฉพาะกับไก่ไข่เท่านั้น แต่การเลี้ยงไก่วิธีนี้ต้องลงทุนสูง ผู้เลี้ยงจะต้องรู้จักฟาร์มที่ผลิตไก่สาวเป็นอย่างดี ต้องสอบถามถึงประวัติของฝูงไก่สาวที่นำมาเลี้ยงเสมอ เพราะช่วงที่ไก่ยังเป็นลูกไก่และไก่รุ่นผู้เลี้ยงไม่สามารถรู้ประวัติของฝูงไก่สาวที่จะนำมาเลี้ยงได้
เทคนิคการป้องกันและแก้ไข
การจัดการน้ำไก่ไข่
1.ไก่ไข่ที่อายุ 3 เดือนขึ้นไป ต้องการน้ำประมาณ 15-20 ลิตร/100 ตัว/วัน หากขาดน้ำในช่วงให้กำลังไข่ เพียง 3-4 ชั่วโมง จะทำให้ไข่ฟองเล็ก น้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำสะอาด ไม่มีเชื้อโรคปนเปื้อนโดยใช้ ไคโตซาน มิกซ์ฟีด ละลายน้ำในรางหรือถังให้ไก่กิน โดยใช้อัตรา 10 ซีซี.น้ำ 20 ลิตร ป้องกันเชื้อโรคที่ปนเปื้อนมากับน้ำ กระตุ้นการกินอาหาร
การจัดการอาหารไก่ไข่
1. อาหารไก่ไข่ ในช่วงเริ่มให้ไข่ เปอร์เซ็นต์โปรตีน ประมาณ 15-16 % ซึ่งมีทั้งอาหารป่น อาหารอัดเม็ด หัวอาหารสำหรับผสมเอง ความต้องการอาหารของไก่ อายุ 3 เดือนขึ้นไป ประมาณ 10 กิโลกรัม/100 ตัว/วัน ปัญหาที่เกิดจากอาหารบางครั้งคือ การปนเปื้อนเชื้อราในอาหาร นอกจากนั้นในวัตถุดิบอาหารสัตว์บางครั้งอาจมีสารพิษตกค้างจากสารเคมีที่ใช้ เช่น ยาฆ่าแมลง ยากำจัดวัชพืช ซึ่งปะปนในอาหารสัตว์ เมื่อสัตว์กินเข้าไป จะทำให้ตับถูกทำลาย หรือเป็นมะเร็งที่ตับได้ แต่ในไก่สามารถสังเกตได้ว่าไก่จะถ่ายเหลว หรือท้องเสีย วิธีป้องกันแก้ไขโดย ใช้สเม็คไทต์ผง ผสมร่วมกับอาหารไก่ เพียง 3 % ของอาหารสามารถจับตรึงสารพิษที่ปนเปื้อนกับอาหารได้ ช่วยจับตรึงแอมโมเนียและกลิ่นเหม็นตั้งแต่ในระบบลำไส้ เมื่อไก่ถ่ายออกมากลิ่นเหม็นจะน้อยลง
การจัดการด้านสุขาภิบาล1. การกำจัดกลิ่นเหม็นจากมูลสัตว์ตามพื้นคอก ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้ไก่มีอาการหายใจลำบาก หน้าบวม ร้อนแดง ตาอักเสบ น้ำมูก น้ำตาไหลและมีอาการคัน เกาจนเป็นแผลทำให้เกิดการติดเชื้อและตายในที่สุด หากเป็นไก่ไข่แบบเลี้ยงรวมบนพื้น สามารถใช้สเม็คไทต์ ผง หว่านลงบนวัสดุรองพื้น โดยในระยะไก่โตอาจหว่านโรย ทุก 5-7 วัน ช่วงเช้า-เย็น ไก่ไข่แบบกรงตับให้ใช้สเม็คไทต์ผง หว่าน โรยบางๆ ทับลงบนมูลไก่ที่พื้นคอก กลิ่นเหม็นจะถูกดูดซับ จากนั้นประมาณ 5-10 นาทีกลิ่นเหม็นจะหายไป
2. การหว่านโรยสเม็คไทต์ผง บนมูลไก่บนลานตากแห้ง หรือหว่านโรยบางๆ ในเล้าไก่ ช่วยลดปัญหาไรไก่ พยาธิ รวมทั้งแมลงวันให้น้อยลง เนื่องจากสเม็คไทต์ เป็นสารจากการระเบิดตัวของหินภูเขาไฟ ซึ่งสามารถรบกวนผิวไรไก่และพยาธิ ทำให้ไรไก่และพยาธิไม่สามารถระบาดได้และลดลง จนหมดไป
วัตถุดิบ (ถ้ามี) ->
1. การคัดเลือกพันธุ์ไก่ไข่
2. รักษาความสะอาดโรงเรือน
3. ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านอาหารไก่
อุปกรณ์ ->
กระบวนการ/ขั้นตอน->
ปัญหาของเกษตรกรที่เลี้ยงไก่ไข่บางครั้งเพราะได้ผลผลิตน้อยไม่คุ้มค่า ทั้งนี้เนื่องมาจากไก่มีการเจ็บป่วย ไก่ตาย โดยที่ยังไม่มีการระบาดของโรค แต่เกิดจากไก่มีอาการแพ้กลิ่นเหม็นแพ้แอมโมเนียจากมูลไก่เอง ปัญหาของมูลไก่โดยทั่วไป คือ เกิดกลิ่นเหม็นออกมารบกวนสุขภาพของไก่และคน และมูลไก่ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวัน ทำให้เกษตรกรต้องเพิ่มต้นทุนค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหา เช่น ค่ายาในการรักษาไก่ ซึ่งค่าวัคซีน ค่าอาหาร ค่าพันธุ์ไก่ ฯลฯ ก็เป็นต้นทุนที่สูงอยู่แล้ว
แนวทางการแก้ไข คือ ต้องทำให้ผลผลิตสูงขึ้น เกิดการสูญเสียแก่ไก่ไข่น้อยที่สุด และลดค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อลดต้นทุนการผลิต ต้นทุนด้านค่าอาหารยังเป็นปัจจัยที่สำคัญ แต่เรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค ในกรณีที่ไม่ได้เกิดจากโรคระบาด การใช้แนวทางการป้องกัน การจัดการระบบสุขาภิบาลของโรงเรือน
ข้อพึงระวัง ->