ความรู้สัมมาชีพชุมชน

การเพาะพันธ์กบ

โดย : นายไกรวิทย์ ดวงใจ วันที่ : 2017-09-17-15:32:32

ที่อยู่ : 63

ความเป็นมา / แรงบันดาลใจ / เหตุผลที่ทำ ->

กบ เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ตามธรรมชาติกบจะหากินอยู่ตามลำห้วย หนอง คลอง บึง และท้องนา กบจะกินกุ้ง ปลา แมลง และสัตว์ขนาดเล็กเป็นอาหาร แต่เนื่องจากสถานการณ์ควาทเป็นอยู่ในปัจจุบันปริมาณความต้องการในการบริโภคเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันทรัพยากรธรรมชาติหรือแม้แต่ผลผลิตทางการเกษตรลดน้อยลง ทำให้เกษตรกรต้องขวนขวายหาแนวทางการประกอบอาชีพใหม่ๆเพื่อเพิ่มรายไเด้ เช่น การทำไร่นาส่วนผสมการเลี้ยงกบหรือสัตว์น้ำอื่นๆ แต่สำหรับการเลี้ยงกบนั้น ปัจจุบันเป็นที่สนใจของเกษตรกรเป้นอย่างมาก ั้งนี้เพราะกบเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย ใช้เวลาน้อย ลงทุนน้อย ดูแลรักษาง่าย และจำหน่ายได้ราคาคุ้มกับการลงทุน

วัตถุประสงค์ ->

1.เพื่อเป็นการถ่ายทอดความรู้ให้แก่สมาชิก

วัตถุดิบ (ถ้ามี) ->

1.อาหารกบ

อุปกรณ์ ->

1.แม่พันธ์-พ่อพันธ์กบ 

2.แผ่นกระเบื้องมุงหลังคา

3.ไม้ไผ่ทำแพ

4.แผ่นโฟม

5.ทางมะพร้าว

6.บ่อเพาะเลี้ยง

7.ภาชนะใส่กบ

8.ตาข่าย

9.อาหารเม็ดสำหรับเลี้ยงลูกกบและกบโตเต็มวัย

กระบวนการ/ขั้นตอน->

1.การเลือกสถานที่สร้างคอกกบ หรือ บ่อเลี้ยงกบ ควรเป็นที่ที่อยู่ใกล้บ้าน สะดวกต่อการดูแลรักษาและป้องกันศัตรูได้เป็นอย่างสูง ที่ดอน เพื่อป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ราบเสมอ สะดวกต่อการสร้างคอกและแอ่งน้ำในคอกใกล้แหล่ง เพื่อสะดวกต่อการถ่ายเทน้ำให้ห่างจากถนน เพื่อป้องกันเสียงรบกวนกบจะได้พักผ่อนเต็มที่และโตเร็ว

2.บ่อเลี้ยงกบ สถานที่ที่จะทำบ่อเลี้ยงกบไม่ว่าจะเป็นสภาพบ่อปูนหรือคอกเลี้ยง จะต้องไม่ควรอยู่ไกลจากที่อยู่อาศับมากนัก เพราะศัตรูของกบมีมาก โดยเฉพาะกบนั้นเมื่อตกใจเมื่อมีภัยมา มันจะไม่ส่งเสียงร้องให้เจ้าของรุ้เหมือนสัตว์อื่นๆ ศัตรูของกบส่วนมากได้แก่ งู นก หนู หมา แมว และที่สำคัญที่สุด คน ดังนั้นบ่อเลั้ยงหรือคอกเลี้ยงกบ อย่าอยู่ห่างจากที่อาศัยมาก จะถูกขโมยจับกบไปขายหมด นกนั้นมีทั้งกลางวันและกลางคืน นกกลางคืนโดยเฉพาะนกเค้าแมวสามารถลงไปอยู่ปะปนและจับกบกินอย่างง่ายดาย แมวนับมีส่วนทำลายกบมากเพระาถึงแม้มันจะจับกบกินตัวเดียวแล้วก็อิ่มแต่เมื่ออิ่มแล้วมันยังจับกบตัวอื่นมาหยอกเล่นและทำให้กบตายในที่สุด

3.พันธุ์กบที่นำมาเลี้ยง กบที่เหมาะสมจะนำมาเพราะเลี้ยงนี้ ได้แก่ กบนา ซึ่งถ้าเลี้ยงอย่างถูกต้องตามวิธีการและใช้เวลาเพียง 4-5 เดือนจะได้กบขนาด 4-5 ตัว/กก. เป็นกบที่มีคว่ามเจริญเติบโตเร็ว โดยมีอัตราแลกเปลี่ยน3.4 กก.ได้เนื้อกบ 1.. ทั้งยังเป็นกบที่มีผู้นิยมนำมาประกอบอาหาร บริโภคกันมากกว่าพันธุ์อื่นๆ ลักษณะของกบนั้นตัวผู้จะมีลักษณะตัวเล็กว่าตัวเมีย และส่วนที่เห็นได้ชัดก็คือ กบตัวผู้เมื่อจับพลิกหงายขึ้นจะเห็นมีกล่องเสียงอยู่ใต้คางแถวๆมุมปากล่างทั้งสองข้าง ในช่วงฤดูประสมพันธุ์ กบตัวผู้จะเป็นผู้ที่ส่งเสียงร้อง และในขณะที่ร้องนั้นส่วนของกล่องเสียงจะพองโตและใส ส่วนตัวเมียนั้นจะมองไม่เห้นส่วนของกล่องเสียงดังกล่าว กบตัวเมียจะร้องเช่นกันแต่เสียงออกเบา ถ้าอยู่ในช่วงประสมพันธุ์ กบตัวเมียที่มีไข่แก่ (ท้องแก่) จะสังเกตุเห็นส่วนของท้องบวมและใหญ่กว่าปกติ ขณะเดียวกัยกบตัวผู้จะส่งเสียงร้องบ่อยครั้งและสีของลำตัวจะออกสัเหลืองอ่อนหรือมีสีเหลืองที่ใต้ขาเห็นชัดกว่าตัวเมีย แต่ถึงอย่างไรก็ตามสีของกบจะเปลี่ยนไปตามสภาพสิ่งแวดล้อมและที่อยู่อาศัย

4.อาหารและการให่อาหาร เมื่อไข่กบฟักออกเป็นตัวแล้วช่วงระยะ 2 วัน ยังไม่ต้องให้อาหารเพระยังใช่ไข่แดงที่ติดตัวเองอยู่ หลังจากนั้นจึงเริ่มให้อาหาร เช่น ไรแดง ไข่ตุ๋น อาหารเม็ด

อายุ 3-7 วัน ให้อาหาร 20 เปอร์เซ็นตืของน้ำหนักตัว จำนวน 5 มื้อ/วัน

อายุ 7-21 วัน ให้อาหาร 10-15 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว จำนวน 5 มื้อ/วัน

อายุ 21-30 วัน ให้อาหาร 5-10 เปอร์เซ็ต์ของน้ำหนักตัว จำนวน 4มื้อ/วัน

อายุ 1-4 เดือน ให้อาหาร 4-5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว จำนวน 2 มื้อ/วัน

5.การเปลี่ยนถ่ายน้ำ เมื่อลูกอ็อดฟักออกเป็นตัวจะต้องเพิ่มระดับน้ำในบ่อขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ในระดับความลึก 30 ซม. ลูกอ็อดอายุครบ 4 วัน จะต้องทำการย้ายบ่อคร้งที่ 1 และระดับน้ำที่เลี้ยงควรอยู่ที่ระดับ 30 ซม. เปลี่ยนถ่ายน้ำทุกวันๆละประมาณ 50 เปอร์เซ้ต์ ทุกๆ3-4 วัน ทำการย้ายบ่อพร้อมกับคัดขนาดลูกอ็อด เมื่อลูกอ็อดเริ่มเข้าที่ขาหน้าเริ่มงอกต้องลดระดับน้ำในบ่อลงมาอยู่ที่ระดับความลึกประมาณ 5-10 ซม. และจะต้องใส่วัสดุที่ใช้สำหรับเกาะอาศัยลงไปในบ่อ เช่น ทางมะพร้าว แผ่นโฟม เป็นต้น

ข้อพึงระวัง ->

การเลี้ยงกบ มักพบปัญหาโรค โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นปัญหาที่สืบเนื่องมาจากความผิดพลาดทางด้านการเลี้ยงและการจัดการ ทำให้มีการหมักหมมของเสียต่างๆเกิดขึ้นในบ่อ โดยเฉพาะการเลี้ยงกบในปัจจุบันมักจะใช้บ่อซีเมนต์และเลี้ยงกันอย่างหนาแน่น มีการให้อาหารมาก ประกอบกับการขาดความเอาใจใส่และไม่เข้าใจในเรื่องความสะอาดของบ่อรวมถึงน้ำที่เลี้ยง โอกาสที่กบจะเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียจึงมีมากขึ้น เท่าที่ได้รวบรวมข้อมูลทางด้านโรคต่างๆ ที่จะพบจากกบนั้นพอแบ่งออกได้ดังนี้

1.โรคติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นโรคที่ทำความเสียหายให้กับผู้เลี้ยงกบมากที่สุด พบทั้งในกบขนาดเล็กและผิวหนังตามตัวโดยเฉพาะด้านท้อง จนถึงแผลเน่าเปื่อยบริเวณปาก ลำตัว และขา เป็นต้น เมื่อเปิดช่องท้องเพื่อดูอวัยวะภายในจะพบว่ามีของเหลวในช่องท้อง ตับมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีจุดสีเหลืองซีดๆกระจายอยู่ทั่วไป ไตขยายใหญ่บางครั้งพบตุ่มสีขาวขุ่นกระจายอยุ่ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดดรค คือ สภาพบ่อสกปรกมาก ดังนั้นควรจัดการทำความสะอาดเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆ ควบคุมปริมาณอาหารให้พอเหมาะและอย่าปล่อยกบลงเลี้ยงหนาแน่นเกินไป

2.โรคที่เกิดจากโปรโตซัวในทางเดินอาหาร โดยทั่วไปจะพบในกบเล็กมากกว่ากบใหญ่ อาการทั่วไปจะพบว่ากบจะไม่ค่อยกินอาหาร ผิมลง ตัวซีด
 

เว็บไซต์สัมมาชีพชุมชนจังหวัดสุรินทร์
กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย

โทรศัพท์ :
Email :
ที่อยู่ :

เกี่ยวกับเรา