การทำการเกษตรผสมผสาน
โดย : นายบุญทิน เเต้มงาม วันที่ : 2017-03-31-13:34:45ที่อยู่ : 14 ม.9 ต.สะเดาใหญ่
ความเป็นมา / แรงบันดาลใจ / เหตุผลที่ทำ ->
มื่อก่อนข้าพเจ้าทำเกษตรเชิงเดี่ยว คือ ทำนา แต่เกิดปัญหาหลายๆ อย่างคือ
1) รายได้ไม่แน่นอน
2) ใช้เงินลงทุนมาก ต้นทุนสูง
3) คุณภาพดิน
ดังนั้นจึงหันมาสนใจกับแนวคิดการทำไร่นาผสมผสาน ที่สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ทำกินขนาดเล็ก เพื่อลดความเสี่ยงจากการผลิต ลดการพึ่งพิงเงินทุน สามารถทำให้ได้ผลผลิตและรายได้เพิ่มขึ้น
เพื่อการเกษตรในที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง จึงเริ่มเข้าร่วมอบรมและเรียนรู้
ด้วยตนเอง และเริ่มการเปลี่ยนไร่นาเป็นการปลูกตะไคร้ 40 ไร่ และปลูกมะละกอแซมหัว/ท้ายร่อง และปลูกไม้ประดับรอบๆ ไร่ตะไคร้ เป็นต้น สิ่งที่แตกต่างจากการทำเกษตรเชิงเดี่ยว คือ
1) ทำให้มีรายได้สม่ำเสมอ
2) ประหยัดค่าใช้จ่าย เงินลงทุนน้อย
3) ลดการว่างงาน มีงานทำทั้งปี
วัตถุประสงค์ ->
1. ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้
2. ทำเป็นอาชีพเสริม
วัตถุดิบ (ถ้ามี) ->
-
อุปกรณ์ ->
กระบวนการ/ขั้นตอน->
2.1. การเตรียม/แบ่งพื้นที่
จะทำการแบ่งพื้นที่ในการทำเกษตรผสมผสาน ได้แก่
1) ปลูกตะไคร้ ประมาณ 40 ไร่
2) ปลูกพืชตระกูลไม้พุ่ม ประมาณ 6 ไร่ เช่น ไผ่
3) ปลูกไม้ล้อม ไม้ประดับ จำนวน 1 ไร่ เช่น ต้นชมพูพานทิพย์
4) ปลูกผลไม้ ประมาณ 2 งาน เช่น มะละกอ
2.2. การคัดเลือกต้นกล้า/พันธุ์ไม้
การทำการเกษตรผสมผสานแปลงนี้ จะเลือกปลูกพืช ผลไม้ และต้นไม้ที่มีอายุการเพาะปลูก และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ตั้งแต่ 6 เดือน แต่ไม่เกิน 12 เดือน สามารถทำให้มีรายได้สม่ำเสมอ และจะทำการเลือกปลูกพืชผักที่มีราคาค่อนข้างที่จะไม่ลงมาก อยู่ระดับกลางๆ
2.3. การดูแลรักษา
1) การใส่ปุ๋ย จะใช้ทั้งปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์ ควบคู่กันไป แต่ปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีค่อนข้างจะน้อยกว่าการทำนา ทำให้ใช้เงินลงทุนต่ำ คุณภาพดินก็ไม่เสื่อมไว เพราะใช้ปุ๋ยอินทรีย์จากมูลสัตว์ช่วยปรับสภาพดินควบคู่กันไป
2) การให้น้ำ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะตะไคร้เป็นพืชที่ชอบน้ำ แต่อย่าให้น้ำขัง
2.4 การเก็บเกี่ยว
1) ตะไคร้ และมะละกอ สามารถเก็บเกี่ยวได้ หลังจากการปลูก 6-8 เดือน
2) ไผ่ลืมแล้ง สามารถเก็บเกี่ยวได้ หลังจากการปลูก 12 เดือน
3) ต้นชมพูพานทิพย์ สามารถเก็บเกี่ยวได้ หลังจากการปลูก 8-12 เดือน
ข้อพึงระวัง ->
1) ต้องทำการศึกษาว่าเราควรปลูกอะไร ช่วงเวลาไหน ที่สามารถขายได้ราคาดี
2) มีแหล่งรับซื้อผลผลิตที่แน่นอน
3) คุณภาพดินเป็นสิ่งสำคัญ ต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์เข้าช่วย