ความรู้สัมมาชีพชุมชน

การปลูกข้าวหอมมะลิคุณภาพสูง

โดย : นายประสพ ปรทุมพงษ์ วันที่ : 2017-04-03-16:10:12

ที่อยู่ : 24 ม.3 ต.วังหลวง

ความเป็นมา / แรงบันดาลใจ / เหตุผลที่ทำ ->

ข้าวหอมมะลิ เป็นข้าวที่ชาวไทย และชาวต่างชาตินิยมรับประทานมากที่สุดในบรรดาข้าวสายพันธุ์ต่างๆ โดยเฉพาะคนไทยที่เป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่สำคัญของโลก ซึ่งพบปลูกมากในภาคอีสานเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดมหาสารคาม สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศีรสะเกษ ยโสธร ร้อยเอ็ด นครราชสีมา เป็นต้น ซึ่งพบมากใน 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 และพันธุ์ กข 15

วัตถุประสงค์ ->

ข้าวหอมมะลิ (Thai jasmine rice): เป็นข้าวเจ้าที่มีคุณภาพดี กลิ่นหอมและนุ่มเป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ และผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเป็นคนฐานะดี มีกำลังซื้อสูง มีปริมาณการส่งออกปีละ 1.0-1.4 ล้านตันข้าวสาร คิดเป็นมูลค่าปีละกว่า 20,000 ล้านบาท คุณสมบัติที่ทำให้ข้าวหอมมะลิมีคุณภาพดีและเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคคือ ข้าวสารเม็ดเรียวยาว ขาวใสเป็นเงาและมีท้องไข่น้อย ข้าวสุกจะเลื่อมมัน อ่อนนุ่มและมีกลิ่นหอม

วัตถุดิบ (ถ้ามี) ->

พันธุ์ กข 15
มีลักษณะเด่นเหมือนพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 คือ ทนต่อสภาพดินเค็ม ดินเปรี้ยว ความแล้ง แต่มีอายุการเก็บเกี่ยวที่สั้นกว่าประมาณ 10-15 วัน ลักษณะของเมล็ดข้าวสารลื่นมัน วาว เม็ดเรียว สวยงาม เมื่อหุงจะมีกลิ่นหอมคล้ายดอกมะลิ และนุ่ม ส่วนยจุดด้อยมีลักษณะคล้ายกันพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 เช่นกัน

อุปกรณ์ ->

การใส่ปุ๋ย ควรใส่ทั้งปุ๋ยเคมี และปุ๋ยคอก ไม่ควรใส่ปุ๋ยเคมีอย่างเดียวเพราะอาจทำให้ดินเสียเร็วขึ้น
– ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่แนะนำ ควรใส่ในอัตรา 500-1000 กิโลกรัม/ไร่
– ปุ๋ยเคมี ครั้งแรก หากเป็นดินทรายแนะนำสูตร 16-16-8 ในอัตรา 15-20 กิโลกรัม/ไร่ ส่วนดินเหนียวสูตร 16-20-0 ในอัตราเดียวกัน
– ปุ๋ยเคมี ครั้งสอง ในระยะก่อนข้าวตั้งท้องหรือตั้งท้อง หากเป็นดินทรายแนะนำสูตร 20-20-20หรือ 15-15-15 ในอัตรา 15-20 กิโลกรัม/ไร่ ส่วนดินเหนียวสูตร 16-16-8 ในอัตราเดียวกัน

– น้ำในแปลงนาต้องมั่นตรวจสอบจุดรั่วไหล ควรให้ระดับน้ำในแปลงนาสูงประมาณ 10-20 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับระบบน้ำ และการชลประทาน หากน้ำน้อยไม่เพียงพอควรมีอย่างน้อย 5-10 เซนติเมตร โดยเฉพาะในช่วงระยะเริ่มแรกของการปลูกจนถึงข้าวตั้งท้อง ส่วนระยะหลังข้าวเป็นเม็ดแป้งแล้วการขาดน้ำมักไม่มีผลต่อเมล็ดข้าวมากนัก

– โรคข้าว สัตว์ และแมลงศัตรูข้าวให้มีการตรวจสอบต้นข้าวเป็นระยะ โดยเฉพาะหนอนกอข้าว และโรคไหม้ ที่มักเกิดมากในทุกท้องที่ รวมไปถึงสัตว์ชนิดต่างๆที่อาจทำลายต้นข้าวได้ เช่น หอยเชอรี่ และหนูนา

โรค และแมลงศัตรูข้าวหอมมะลิ

กระบวนการ/ขั้นตอน->

การปลูก
ข้าวหอมมะลินิยมปลูกทั้งในช่วงฤดูนาปี และนาปรัง นาปีจะเริ่มในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ในระยะหว่านกล้า ซึ่งจะเก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมส่วนนาปรังสามารถปลูกได้ ตลอดฤดูขึ้นอยู่กับน้ำ และการชลประทาน

วิธีการปลูกนิยมทั้ง 2 วิธี คือ การปักดำจากต้นกล้าในระยะ 25×25 เซนติเมตร และวิธีการหว่านในอัตรา 15-20 กิโลกรัม/ไร่ ทั้งนี้การปลูกข้าวด้วยการหว่านควรกำจัดวัชพืชในแปลงออกให้เหลือน้อยที่สุด

การหว่านแบบแห้งพร้อมไถกลบ ควรไถกลบ และไถดะตากดินหรือวัชพืชให้เน่าหรือตายเสียก่อนอย่างน้อยประมาณ 2-3 อาทิตย์ ก่อนการหว่าน

การ หว่านแบบเปียก ควรไถกลบ และแช่น้ำให้วัชพืชหรือตอซังเน่าอย่างน้อยประมาณ 1-2 อาทิตย์ ก่อนการหว่าน สำหรับวิธีการปักดำมักไม่ค่อยพบปัญหาเรื่องวัชพืช

ข้อพึงระวัง ->

การดูแลในระยะปลูก
การใส่ปุ๋ย ควรใส่ทั้งปุ๋ยเคมี และปุ๋ยคอก ไม่ควรใส่ปุ๋ยเคมีอย่างเดียวเพราะอาจทำให้ดินเสียเร็วขึ้น
– ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่แนะนำ ควรใส่ในอัตรา 500-1000 กิโลกรัม/ไร่
– ปุ๋ยเคมี ครั้งแรก หากเป็นดินทรายแนะนำสูตร 16-16-8 ในอัตรา 15-20 กิโลกรัม/ไร่ ส่วนดินเหนียวสูตร 16-20-0 ในอัตราเดียวกัน
– ปุ๋ยเคมี ครั้งสอง ในระยะก่อนข้าวตั้งท้องหรือตั้งท้อง หากเป็นดินทรายแนะนำสูตร 20-20-20หรือ 15-15-15 ในอัตรา 15-20 กิโลกรัม/ไร่ ส่วนดินเหนียวสูตร 16-16-8 ในอัตราเดียวกัน

– น้ำในแปลงนาต้องมั่นตรวจสอบจุดรั่วไหล ควรให้ระดับน้ำในแปลงนาสูงประมาณ 10-20 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับระบบน้ำ และการชลประทาน หากน้ำน้อยไม่เพียงพอควรมีอย่างน้อย 5-10 เซนติเมตร โดยเฉพาะในช่วงระยะเริ่มแรกของการปลูกจนถึงข้าวตั้งท้อง ส่วนระยะหลังข้าวเป็นเม็ดแป้งแล้วการขาดน้ำมักไม่มีผลต่อเมล็ดข้าวมากนัก

เว็บไซต์สัมมาชีพชุมชนจังหวัดร้อยเอ็ด
กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย

โทรศัพท์ :
Email :
ที่อยู่ :

เกี่ยวกับเรา