ความเป็นมา / แรงบันดาลใจ / เหตุผลที่ทำ ->

นางจุฬาภรณ์  ดีเอง วิทยากรสัมมาชีพชุมชน บ้านชาคลี หมู่ที่ 1 ตำบลบางหิน อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง มีองค์ความรู้ทางด้านงานประดิษฐ์ เช่น การร้อยลูกปัด การประดิษฐ์เหรียญโปรยทาน และการทำขนม ซึ่งองค์ความรู้ที่เกิดนั้นมาจากการเรียนรู้จากผู้รู้ และจากการสะสมประสบการณ์ องค์ความรู้ที่สำคัญหนึ่ง คือ การทำขนมดอกจอก ซึ่งก่อให้เกิดรายได้เสริมให้กับตนเอง และครอบครัว โดยการทำขนมดอกจอกจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในการผสมแป้งและการความร้อนในการทอดขนม

วัตถุประสงค์ ->

1. เพื่อสร้างอาชีพให้กับประชาชนภายในชุมชน

2. เพื่อเพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายภายในครัวเรือน

วัตถุดิบ (ถ้ามี) ->

การทำขนมดอกจอก มีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ

1. แป้งข้าวเจ้า  350  กรัม
          2. แป้งมัน  50  กรัม
          3. น้ำตาลทราย  1  ถ้วย
          4. เกลือป่น (เล็กน้อย)
          5. น้ำปูนใส  1  ถ้วย
          6. หัวกะทิ  1  ถ้วย
          7. ไข่ไก่  1 ฟอง
          8. งาดำคั่ว
          9. น้ำมันพืช (สำหรับทอด)

อุปกรณ์ ->

อุปกรณ์และเครื่องมือในการทำขนมดอกจอก ได้แก่

1. พิมพ์สำหรับทำขนมดอกจอก
2. กระทะทองเหลือง หรือกระทะปกติธรรมดา
3. กระดาษซับน้ำมัน
4. ทัพพี หรือไม้เขี่ย
5. เตาแก๊ส
6. ถุงบรรจุ

7. แก้วหรือชาม

กระบวนการ/ขั้นตอน->

1. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำตาลทราย และเกลือ ให้เข้ากัน

2. เติมน้ำปูนใสและหัวกะทิลงไป ตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน ใส่ไข่ลงไป ตีผสมจนเข้ากันอีกครั้ง จากนั้นเติมงาดำลงไป พักแป้งไว้สักครู่

3. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ (กะพอให้สูงท่วมพิมพ์ขนมดอกจอก) เปิดไฟปานกลาง พอน้ำมันร้อนนำ

พิมพ์ลงไปแช่ในน้ำมัน พอจนพิมพ์ร้อนจัด ให้ยกขึ้นมาวางลงบนกระดาษซับน้ำมัน

          4. พอน้ำมันแห้งแล้วนำพิมพ์ลงไปจุ่มลงในส่วนผสมแป้ง โดยเว้นให้เหลือขอบเล็กน้อยจะได้ถอดพิมพ์ได้ง่าย ยกพิมพ์ลงไปทอดในน้ำมัน ทอดจนแป้งเริ่มสุกและขนมเริ่มล่อนออกจากพิมพ์ ค่อย ๆ เขย่าพิมพ์ให้หลุดจากตัวแป้ง ทอดต่อจนสุกเหลืองกรอบทั้งสองด้าน ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน

5. นำขนมไปวางบนก้นแก้วหรือชามคว่ำ (ขนาดพอ ๆ กับชิ้นขนมแล้ว) แล้วค่อย ๆ ดัดกลีบขนมลงลง พักทิ้งไว้จนเย็น แล้วบรรจุถุงจำหน่ายได้

ข้อพึงระวัง ->

การทอดขนมดอกจอกจะต้องใช้ไฟปานกลางเท่านั้น หากใช้ไฟแรงจะทำให้ขนมดอกจอกไหม้ และการเขย่าพิมพ์จะต้องมีความระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นดอกจอกจะไม่สวยงาม