ความรู้สัมมาชีพชุมชน

image1

ปลูกดอกดาวเรือง

โดย : นางละออ อุตมา วันที่ : 2017-06-25-16:59:42

ที่อยู่ : บ้านเลขที่ 211 หมู่ที่ 3 ตำบลม่วงติ๊ด อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน 55000

ความเป็นมา / แรงบันดาลใจ / เหตุผลที่ทำ ->

ดอกดาวเรือง  มีตลาดและคำสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก

วัตถุประสงค์ ->

สร้างรายได้ให้ครัวเรือน  ชุมชน

วัตถุดิบ (ถ้ามี) ->

การเพาะเมล็ด

 วัสดุอุปกรณ์

1.ถาดเพาะ 200 หรือ 288 หลุม

2.พีทมอส (วัสดุเพาะ)

3.คีม                  
4.ตะกร้าสำหรับกลบเมล็ด                  

5.ถังพ่นสารเคมี

6.สารป้องกัน และกำจัดเชื้อรา โพรพาโมคาร์บ หรือ เมทาแลกซิล

7.ถุงมือ (ป้องกันสารเคมี)

อุปกรณ์ ->

วิธีการเพาะ

 

    1.เตรียมน้ำสำหรับผสมวัสดุเพาะ โดยผสมโพรพาโมคาร์บ อัตรา 0.4 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร หรือเมทาแลกซิล 1 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร เพื่อป้องกันโรคเน่าคอดิน

    2.ผสมน้ำที่เตรียมไว้กับพีทมอส โดยค่อยๆเติมน้ำที่ละน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นลองบีบวัสดุเพาะเพื่อทดสอบว่า น้ำเข้ากับวัสดุเพาะได้ดีหรือไม่  หากบีบแล้วมีน้ำออกมาเล็กน้อยตามร่องมือ และวัสดุเพาะเกาะกันเป็นก้อนดีถือว่าใช้ได้ หากมีน้ำไหลออกมามากเกินไป ให้ผสมวัสดุเพาะเพิ่ม หรือไม่มีน้ำซึมออกมาแสดงว่าน้ำน้อยเกินไป ให้เพิ่มน้ำและบีบทดสอบใหม่

   3.นำวัสดุเพาะที่เตรียมไว้ใส่ถาดเพาะ 200 หรือ 288 ให้เต็มหลุมกระแทกถาดเพาะ 1 ครั้งเพื่อให้วัสดุเพาะลงถึงก้นหลุม เติมวัสดุเพาะให้เต็ม และปาดให้เรียบพอดีกับหลุม

   4.นำถาดเพาะเปล่ามาวางบนถาดเพาะที่ใส่วัสดุเพาะแล้ว จากนั้นกดถาดเปล่าเพื่อทำหลุม โดยหลุมที่กดมีขนาดลึกพอดีกับเมล็ดประมาณ 0.5 ซม.

   5.ทำการหยอดเมล็ด 1 เมล็ดต่อ 1 หลุม (วางนอนได้เลยไม่จำเป็นต้องนำหัวด้านใดด้านหนึ่งปักลงไป)

    6.นำวัสดุเพาะที่ยังไม่ได้ผสมน้ำมาใส่ตะกร้าเพื่อร่อนกลบเมล็ด โดยกลบให้มิดเมล็ด เนื่องจากดาวเรืองไม่ต้องการแสงในการงอก และเป็นการรักษาสภาพความชื้นในการงอกของเมล็ด

    7.พ่นสารเคมีโพรพาโมคาร์ อัตรา 1 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร หรือ เมทาแลกซิล 1 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร พ่นให้ทั่วถาดเพื่อป้องกันโรคเน่าคอดินอีกครั้ง

     8.นำถาดเข้าไปในบริเวณที่พรางแสง 80%-90% และรักษาความชื้นโดยการพ่นน้ำ อย่าให้ถาดเพาะแห้งจนเกินไปเพราะจะทำให้เมล็ดไม่งอก หรือแฉะจนเกินไป อาจทำให้เป็นโรคเน่าคอดินในระยะงอกของเมล็ดได้

 

 

 

 

 

 

                    การดูแลต้นกล้า

 

ระยะที่ 1. เป็นระยะที่ต้นกล้าเริ่มงอก หลังจากเพาะเมล็ดแล้ว 3-5 วัน ในระยะนี้ควรรักษาความชื้นโดยการพ่นน้ำ และนำไปในที่พรางแสง 50%

 

 

ระยะที่ 2. เป็นระยะใบเลี้ยงเริ่มแผ่ โดยใช้เวลาจากระยะแรก 1-2 วันควรนำออกแดดจัดเพื่อป้องกันต้นกล้ายืดเข้าหาแสง ในช่วง 1-2 วันนี้ควรรักษาความชื้นไว้อยู่เนื่องจากต้นกล้ายังเล็ก เมื่อต้นกล้าแข็งแรงควรปล่อยให้ผิววัสดุปลูกแห้งบ้าง เพื่อป้องกันโรคเน่าคอดิน และจะทำให้ต้นกล้าแข็งแรงกว่าการให้น้ำตลอดเวลา ในระยะนี้ยังไม่ควรให้ปุ๋ยเนื่องจากต้นกล้ายังมีอาหารสะสมอยู่ และในตัววัสดุเพาะเองมีการใส่ธาตุอาหารไว้ในระดับหนึ่งแล้ว

 

ระยะที่ 3. เป็นระยะที่เริ่มมีใบจริง 1 คู่ เริ่มให้ปุ๋ยทางน้ำโดยผสมปุ๋ยสูตร 15-0-0 (แคลเซียมไนเตรท) หรือปุ๋ยสูตร 20-20-20 อัตรา 3 กรัม ต่อน้ำ 10 ลิตร 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ย 46-0-0 หรือยูเรีย เพราะจะทำให้ต้นกล้าอ่อนแอ ความชื้้นควรปล่อยให้ผิวหน้าวัสดุแห้ง แต่ต้นไม่เหี่ยวจึงจะทำการรดน้ำ หรือให้ปุ๋ยจนชุ่ม

 

 

ระยะที่ 4. เป็นระยะที่เริ่มมีใบจริง 2 คู่ เพิ่มการให้ปุ๋ย โดยให้ปุ๋ยสูตร 15-0-0 หรือ 20-20-20 อัตรา 6 กรัม ต่อน้ำ 10 ลิตร ความชืนเหมือนกันกับระยะที่ 3

 

 

 

 

 

                 การเตรียมแปลง 

 

การไถพรวน ควรไถลึกประมาณ 30-50 ซม. และหว่านปูนขาว หรือโดโลไมท์อัตรา200-400 กก./ไร่ เพื่อปรับสภาพดินตากทิ้งไว้ 4-5 วัน

จากนั้นตีพรวนดินให้ละเอียด และขึ้นแปลงปลูกขนาด 1.20 เมตร สำหรับแปลงคู่ และ 40-50 ซม. สำหรับแปลงเดี่ยว

กระบวนการ/ขั้นตอน->

 ระยะที่ 1 เป็นระยะที่ต้นกล้าเริ่มงอก

        หลังจากเพาะเมล็ดแล้ว 3-5 วัน ใน ระยะนี้ควรรักษาความชื้นโดยการพ่นน้ำและนำไปในที่ พรางแสง 50%

ธีการย้ายปลูก

       ควรย้ายต้นกล้าที่มีอายุไม่เกิน 20 วัน หรือมีจำนวนใบจริง 2-3 คู่ ไม่ควรย้ายต้นกล้า ที่มีอายุมากเกินไปเพราะระบบรากจะแผ่กระจายได้ช้า เนื่องจากระบบรากนั้นแก่เกินไป ดังนั้นควรย้ายกล้าระหว่าง 15-20 วัน จะทำให้รากของต้นกล้ามีการพัฒนาได้ดีกว่า การหาอาหารของรากก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น

✿ ช่วงเวลาในการย้ายปลูก

       ช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การย้ายปลูกคือช่วงเย็น (แดดไม่แรง) เพื่อช่วยลดการสูญเสียน้ำของต้นกล้าส่งผลให้ต้นกล้ามีการตั้งตัวได้ดีหลังการย้ายปลูก

✿ ระยะที่เหมาะสมต่อการปลูก

ระยะปลูกในแต่ละฤดูกาลจะมีความแตกต่างกันตามความเหมาะสม ดังนี้

- ฤดูร้อน และ ฤดูหนาว ระยะ 35-40 ซม. X 35-40 ซม. แนะนำให้ปลูกแถวคู่ จะให้ผลดีกว่าแถวเดี่ยว เนื่องจากแถวคู่จะช่วยเก็บความชื้นในดินได้ดีกว่าแถวเดี่ยว

- ฤดูฝน ระยะ 50 ซม. X 50 ซม. แนะนำให้ปลูกแถวเดี่ยว เนื่องจากจะสามารถช่วยลดการเกิดโรคพืชได้ ความลึกของหลุมประมาณ 4-5 ซม. และพยายามปลูกต้นกล้าให้ตั้งตรง

✿ การให้น้ำ

      ช่วงหลังการย้ายปลูกควรให้น้ำสม่ำเสมอจนต้นฟื้นตัว ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นควรรักษาความชื้นในดินให้เหมาะสมไม่แห้งจนต้นเหี่ยว และไม่แฉะหรือน้ำขังเป็นเวลานานเกินไป หากดินขาดความชื้นจะทำให้แมลงพวกเพลี้ยไฟ  ไรแดง ระบาดได้ง่าย และหากดินมีน้ำขังหรือแฉะจนเกินไปก็จะทำให้เกิดโรคได้ง่ายเช่นกัน

✿ การให้ปุ๋ย   แนะนำให้ละลายน้ำรดเพราะพืชจะสามารถนำไปใช้ได้เลย อัตรา 1 กก. /น้ำ 100 ลิตร 1 ครั้งต่อสัปดาห์

ข้อพึงระวัง ->

ควรหลีกเลี่ยงปุ๋ยสูตร 46-0-0 , 25-7-7 หรือพวกแอมโมเนียม เพราะจะทำให้เป็นโรคไส้กลวง ในช่วงฤดูฝน  ให้ธาตุอาหารรอง เช่น แคลเซียม, โบรอน หรือธาตุอาหารอื่นที่จำเป็น

รูปประกอบ -> image1 image2 image3

เว็บไซต์สัมมาชีพชุมชนจังหวัดน่าน
กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย

โทรศัพท์ :
Email :
ที่อยู่ :

เกี่ยวกับเรา