การเลี้ยงกุ้งก้ามแดง
โดย : นายบรรพต สิทธิยศ วันที่ : 2017-06-22-17:02:08ที่อยู่ : 146 ม. 4 ต.ฝายแก้ว
ความเป็นมา / แรงบันดาลใจ / เหตุผลที่ทำ ->
กุ้งก้ามแดงหรือกุ้งล๊อบสเตอร์ปัจจุบันในประเทศไทยนิยมนำมารับประทานกันเพิ่มมากขึ้น เพราะว่ารสชาติของกุ้งก้ามแดงจะมีรสชาติที่หวานมากกว่ากุ้งก้ามกราม แต่ก่อนจะนิยมเลี้ยงกันเพื่อความสวยงามแต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่นิยมเลี้ยงกันมากในชาวเกษตรกร เหตุผลเพราะเลี้ยงง่ายสามารถเพาะเลี้ยงในบ่อปูน อ่างน้ำกะละมังได้หมด หรือแม้กระทั่งในนาข้าวก็สามารถเลี้ยงได้เช่นกัน
วัตถุประสงค์ ->
เพื่อเป็นการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับคนในชุมชนได้ทำเป็นอาชีพเสริม
วัตถุดิบ (ถ้ามี) ->
อุปกรณ์ ->
1. ปั๊มลม ออกซิเจน
2. บ่อซีเมนต์
3. อ่างพลาสติก
4. กระชอน
5. พลาสิกคลุมบ่อซีเมนต์
กระบวนการ/ขั้นตอน->
1. การเตรียมน้ำ ต้องเตรียมน้ำ ยกตัวอย่างเลี้ยงในตู้ 24 นิ้ว ใส่น้ำประมาณ 50 ลิตร เติมเกลือแกงไปประมาณ 2-4 ช้อนโต๊ะ เปิด ออกซเจนทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง ไม่ต้องใส่น้ำยาลดคลอรีน ก่อนนำกุ้งลงตู้ให้เอาถุงใส่กุ้งลอยน้ำทิ้งไว้ 15 นาที เพื่อปรับอุณหภูมิให้กับกุ้ง
** กรณีเลี้ยงบ่อดิน บ่อผ้าใบพลาสติก ใส่น้ำความสูง 30-40 เซนติเมตร เติมเกลือ อัตราน้ำ 1000 ลิตร ต่อ 1 กิโลกรัม ปั๊มออกซิเจน หรือใบพัดปั่นน้ำ ในบ่อทิ้งไว้ 5-6 ชั่วโมง ค่อยนำกุ้งลง แล้วแต่ ขนาดของบ่อ **
2.ปรับอุณหภูมิการเลี้ยงไว้ที่ 20-30 องศาเซลเซียส
3.สังเกตการลอกราบของกุ้ง ซึ่งช่วงเวลานี้กุ้งจะบอบบางและอ่อนแอมาก จะสังเกตอย่างไร แบ่งออกเป็นข้อๆได้ตามนี้ครับ
- ปริมาณการกินอาหารน้อยลง
- รอยต่อของลำตัวจะเปิด
- จับดูที่เปลือกหัวจะนุ่มนิ่มแสดงว่าใกล้ลอกคราบ
- แต่ถ้าห้วเปิดแล้วตัวยังแข็งอยู่แสดงว่ายังไม่ลอกคราบ อาจจะเกิดจากการที่กุ้งกินอาหารมากเกินไป ทำให้เปลือกบริเวฯรอยต่อยกขึ้นเหมือนลอกคราบ
4. การถ่ายน้ำในกรณีเลี้ยงตู้ควรถ่ายทุกๆ 7-10 วัน ** ส่วนบ่อดิน บ่อผ้าใบพลาสติก สูบน้ำเก่าออกเติมน้ำใหม่เข้า ทุก 2 สัปดาห์ ** ไม่ควรเปลี่ยนน้ำทิ้งทั้งหมด จะทำให้กุ้ง น็อคน้ำได้
5.อาหาร สำหรับกุ้งชนิดนี้กินได้ทั้งพืชและสัตว์และอาหารเม็ด ยกตัวอย่างอาหารของกุ้งก้ามใหญ่ เช่น สาหร่ายหางกระรอก แครอท และพืชน้ำอื่นๆ ประเภทเนื้อสัตว์จะเป็นพวก กุ้งฝอยต้ม เนื้อปลาตัวเล็กๆ *หนอนแดง กรณีเลี้ยงในตู้หรือ บ่อพลาสติก*
6.การเพาะพันธุ์ กุ้งก้ามใหญ่ จะเริ่มผสมพันธุ์ที่ขนาดประมาณ 3 นิ้วขึ้นไป ( ขึ้นอยู่กับความสมบูรณื และสายพันธุ์ ) หลังจากผสมแล้ว ตัวเมียจะปล่อยไข่ออกมาใต้หาง และใช้เวลา 30 วันลูกจะเป็นตัวแล้วจะลงดิน อัตตราการผสม ตัวผู้ 1 ตัว ต่อ ตัว เมีย 3 ตัว
ข้อพึงระวัง ->