การปลูกดาวเรือง
โดย : นายประสิทธิ์ เเก้ววิจิตร วันที่ : 2017-08-23-11:00:31ที่อยู่ : 47/1 ม.3 ต.ทุ่งโพธิ์
ความเป็นมา / แรงบันดาลใจ / เหตุผลที่ทำ ->
ดาวเรืองเป็นพืชเศษฐกิจที่มีการปลูกันในปริมาณที่น้อยในพื้นที่ภาคใต้ จึงถือได้ว่าการปลูกดาวเรืองจึงเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้เเก่เกษตรกรในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำ
วัตถุประสงค์ ->
เพื่สร้างอาชีพเสริมให้เเก่เกษตรกร
วัตถุดิบ (ถ้ามี) ->
อุปกรณ์ ->
1.ถาดเพาะ 200 หรือ 288 หลุม
2.พีทมอส (วัสดุเพาะ)
3.คีม
4.ตะกร้าสำหรับกลบเมล็ด5.ถังพ่นสารเคมี
6.สารป้องกัน และกำจัดเชื้อรา โพรพาโมคาร์บ หรือ เมทาแลกซิล
7.ถุงมือ (ป้องกันสารเคมี)
กระบวนการ/ขั้นตอน->
วิธีการเพาะ
1.เตรียมน้ำสำหรับผสมวัสดุเพาะ โดยผสมโพรพาโมคาร์บ อัตรา 0.4 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร หรือเมทาแลกซิล 1 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร เพื่อป้องกันโรคเน่าคอดิน
2.ผสมน้ำที่เตรียมไว้กับพีทมอส โดยค่อยๆเติมน้ำที่ละน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นลองบีบวัสดุเพาะเพื่อทดสอบว่า น้ำเข้ากับวัสดุเพาะได้ดีหรือไม่ หากบีบแล้วมีน้ำออกมาเล็กน้อยตามร่องมือ และวัสดุเพาะเกาะกันเป็นก้อนดีถือว่าใช้ได้ หากมีน้ำไหลออกมามากเกินไป ให้ผสมวัสดุเพาะเพิ่ม หรือไม่มีน้ำซึมออกมาแสดงว่าน้ำน้อยเกินไป ให้เพิ่มน้ำและบีบทดสอบใหม่
3.นำวัสดุเพาะที่เตรียมไว้ใส่ถาดเพาะ 200 หรือ 288 ให้เต็มหลุมกระแทกถาดเพาะ 1 ครั้งเพื่อให้วัสดุเพาะลงถึงก้นหลุม เติมวัสดุเพาะให้เต็ม และปาดให้เรียบพอดีกับหลุม
4.นำถาดเพาะเปล่ามาวางบนถาดเพาะที่ใส่วัสดุเพาะแล้ว จากนั้นกดถาดเปล่าเพื่อทำหลุม โดยหลุมที่กดมีขนาดลึกพอดีกับเมล็ดประมาณ 0.5 ซม.
5.ทำการหยอดเมล็ด 1 เมล็ดต่อ 1 หลุม (วางนอนได้เลยไม่จำเป็นต้องนำหัวด้านใดด้านหนึ่งปักลงไป) 6.นำวัสดุเพาะที่ยังไม่ได้ผสมน้ำมาใส่ตะกร้าเพื่อร่อนกลบเมล็ด โดยกลบให้มิดเมล็ด เนื่อการดูแลต้
งจากดาวเรืองไม่ต้องการแสงในการงอก และเป็นการรักษาสภาพความชื้นในการงอกของเมล็ด
7.พ่นสารเคมีโพรพาโมคาร์ อัตรา 1 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร หรือ เมทาแลกซิล 1 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร พ่นให้ทั่วถาดเพื่อป้องกันโรคเน่าคอดินอีกครั้ง
8.นำถาดเข้าไปในบริเวณที่พรางแสง 80%-90% และรักษาความชื้นโดยการพ่นน้ำ อย่าให้ถาดเพาะแห้งจนเกินไปเพราะจะทำให้เมล็ดไม่งอก หรือแฉะจนเกินไป อาจทำให้เป็นโรคเน่าคอดินในระยะงอกของเมล็ดได้
การดูเเลต้นกล้า
ระยะที่ 1. เป็นระยะที่ต้นกล้าเริ่มงอก หลังจากเพาะเมล็ดแล้ว 3-5 วัน ในระยะนี้ควรรักษาความชื้นโดยการพ่นน้ำ และนำไปในที่พรางแสง 50%
ระยะที่ 2. เป็นระยะใบเลี้ยงเริ่มแผ่ โดยใช้เวลาจากระยะแรก 1-2 วันควรนำออกแดดจัดเพื่อป้องกันต้นกล้ายืดเข้าหาแสง ในช่วง 1-2 วันนี้ควรรักษาความชื้นไว้อยู่เนื่องจากต้นกล้ายังเล็ก เมื่อต้นกล้าแข็งแรงควรปล่อยให้ผิววัสดุปลูกแห้งบ้าง เพื่อป้องกันโรคเน่าคอดิน และจะทำให้ต้นกล้าแข็งแรงกว่าการให้น้ำตลอดเวลา ในระยะนี้ยังไม่ควรให้ปุ๋ยเนื่องจากต้นกล้ายังมีอาหารสะสมอยู่ และในตัววัสดุเพาะเองมีการใส่ธาตุอาหารไว้ในระดับหนึ่งแล้ว
ระยะที่ 3. เป็นระยะที่เริ่มมีใบจริง 1 คู่ เริ่มให้ปุ๋ยทางน้ำโดยผสมปุ๋ยสูตร 15-0-0 (แคลเซียมไนเตรท) หรือปุ๋ยสูตร 20-20-20 อัตรา 3 กรัม ต่อน้ำ 10 ลิตร 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ย 46-0-0 หรือยูเรีย เพราะจะทำให้ต้นกล้าอ่อนแอ ความชื้้นควรปล่อยให้ผิวหน้าวัสดุแห้ง แต่ต้นไม่เหี่ยวจึงจะทำการรดน้ำ หรือให้ปุ๋ยจนชุ่ม
ระยะที่ 4. เป็นระยะที่เริ่มมีใบจริง 2 คู่ เพิ่มการให้ปุ๋ย โดยให้ปุ๋ยสูตร 15-0-0 หรือ 20-20-20 อัตรา 6 กรัม ต่อน้ำ 10 ลิตร ความชืนเหมือนกันกับระยะที่ 3
การเตรียมแปลง
การไถพรวน ควรไถลึกประมาณ 30-50 ซม. และหว่านปูนขาว หรือโดโลไมท์อัตรา200-400 กก./ไร่ เพื่อปรับสภาพดินตากทิ้งไว้ 4-5 วัน
จากนั้นตีพรวนดินให้ละเอียด และขึ้นแปลงปลูกขนาด 1.20 เมตร สำหรับแปลงคู่ และ 40-50 ซม. สำหรับแปลงเดี่ยว
การใส่ปุ๋ยรองพื้น
ก่อนปรับแปลงปลูกควรเพิ่มธาตุอาหารให้เป็นไปตามความต้องการของพืช ในปริมาณที่เพียงพอ เช่น หว่านปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 25-30 กก./ไร่
ถ้าหากดินที่ทำการปลูกเป็นดินเหนียวควรเพิ่มอินทรีย์วัตถุลงไป เช่น ปุ๋ยคอก ขี้ไก่ ขุ๋ยมะพร้าว และอื่นๆ เมื่อทำการหว่านปุ๋ย หรือเติมอินทรีย์วัตถุลงไปแล้วให้คลุกเคล้า และเกลี่ยแปลงให้เรียบ
การย้ายปลูก
วิธีการย้ายปลูก ควรย้ายต้นกล้าที่มีอายุไม่เกิน 15 วัน หรือมีจำนวนใบจริง 2-3 คู่ ไม่ควรย้ายต้นกล้าที่มีอายุมากเกินไปเพราะระบบรากจะแผ่กระจายได้ช้า เนื่องจากระบบรากนั้้นแก่เกินไป ดังนั้นควรย้ายกล้าระหว่าง 12-15 วัน (ขึ้นอยู่กับสภาพต้นกล้าว่ามีความแข็งแรงและมีใบจริง 2-3 คู่) จะทำให้รากของต้นกล้ามีการพัฒนาได้ดีกว่า การหาอาหารของรากก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ช่วงเวลาในการย้ายปลูก ช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การย้ายปลูกคือช่วงเย็น (แดดไม่แรง) เพื่อช่วยลดการสูญเสียน้ำของต้นกล้าส่งผลให้ต้นกล้ามีการตั้งตัวได้ดีหลังการย้ายปลูก
ระยะที่เหมาะสมต่อการปลูก ระยะปลูกในแต่ละฤดูกาลจะมีความแตกต่างกันตามความเหมาะสม ดังนี้
- ฤดูร้อน และฤดูหนาว ระยะ 35-40 ซม. x 35-40 ซม.แนะนำให้ปลูกแถวคู่จะให้ผลดีกว่าแถวเดี่ยว เนื่องจากแถวคู่จะช่วยเก็บความชื้นในดินได้ดีกว่าแถวเดี่ยว
- ฤดูฝน ระยะ 50 ซม. x 50 ซม.แนะนำให้ปลูกแถวเดี่ยว เนื่องจากจะสามารถช่วยลดการเกิดโรคพืชได้ ความลึกของหลุมประมาณ 4-5 ซม. และพยายามปลูกต้นกล้าให้ตั้งตรง
การให้น้ำ
ช่วงหลังการย้ายปลูกควรให้น้ำสม่ำเสมอจนต้นฟื้นตัว ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นควรรักษาความชื้นในดินให้เหมาะสม ไม่แห้งจนต้นเหี่ยว และไม่แฉะ หรือน้ำขังเป็นเวลานานเกินไป หากดินขาดความชื้นจะทำให้แมลงพวกเพลี้ยไฟ ไรแดง ระบาดได้ง่าย และหากดินมีน้ำขัง หรือแฉะจนเกินไปก็จะทำให้เกิดโรคได้ง่ายเช่นกัน
การให้ปุ๋ย
แนะนำให้ละลายน้ำรดเพราะพืชจะสามารถนำไปใช้ได้เลย อัตรา 1 กก./ น้ำ 100 ลิตร 1 ครั้งต่อสัปดาห์
วิธีการดูแลหลังย้ายปลูก
การกลบโคนต้นถือเป็นสิ่งสำคัญในการปลูกดาวเรือง เนื่องจากการกลบโคนจะช่วยให้ดาวเรืองแตกรากใหม่ออกมาได้มากขึ้น ทำให้ดาวเรืองสามารถหาอาหารได้มากขึ้น การเจริญเติบโตก็มากขึ้นไปด้วย ควรกลบโคนอย่างน้อย 2 ครั้ง ในช่วงหลังเด็ดยอด และก่อนออกดอก โดยการโรยปุ๋ยเม็ดสูตร 15-15-15 และทำการกลบโคนให้ชิดกับข้อใบคู่ล่างสุด
การเด็ดยอด ควรทำการเด็ดยอดหลังการย้ายปลูกประมาณ 10-15 วัน ต้องมีใบจริงอย่างน้อย 3 คู่ เด็ดยอดออก 1 คู่โดยใช้มือด้านหนึ่งจับข้อที่ต้องการเด็ด และโน้มกิ่งด้านบนลงจนหักชิดข้อที่จับ ช่วยในการแตกทรงพุ่มของลำต้น และความสูงให้สม่ำเสมอกัน แต่ดาวเรืองที่ทำการเด็ดยอดจะทำให้การออกดอกช้าลงประมาณ 1 สัปดาห์
(ในช่วงวันสั้น หรือฤดูหนาว แนะนำให้เด็ดยอดเพื่อให้ลำต้นสมบูรณ์แข็งแรง ไม่ออกดอกเร็วจนเกินไป)
การจัดการเพื่อให้ออกดอกต่อเนื่อง
- ตัดดอกที่เสียออกจากแปลงปลูก
- ให้ความชื้นสม่ำเสมอ
- ให้ธาตุอาหารรอง เช่น แคลเซียม, โบรอน, แมกนีเซียม, สังกะสี หรือธาตุอาหารอื่นที่จำเป็น
ข้อพึงระวัง ->
การเก็บเกี่ยวควรใช้กรรไกรตัดเพื่อไม่ให้กิ่งช้ำ