การปลูกผักแบบผสมผสาน
โดย : นายอุดม คงคา วันที่ : 2017-03-23-01:27:47ที่อยู่ : 55/2 ม.1 ต.คลองพิไกร
ความเป็นมา / แรงบันดาลใจ / เหตุผลที่ทำ ->
การปลูกพืชผักแบบผสมผสาน เป็นอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนได้ตลอดทั้งปี เป็นทั้งรายได้รายวัน รายเดือน และรายปี ถ้าหากเรารู้จักที่จะดูแลและวิธีการปลูกที่ถูกต้อง โดยพืชผักที่ทำการปลูก เช่น บวบ แตงกวา ผักสวนครัวต่างๆ เช่น ผักกาดขาว ผักกาดเขียว คะน้า กระเพรา โหระพา กวางตุ้ง เป็นต้น และไม้ยืนต้น เช่น ไผ่กินหน่อ ซึ่งจะมีผลผลิตได้ตลอดทั้งปี การดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก เพียงแค่มีบ่อน้ำหรือแหล่งน้ำที่สามารถให้น้ำได้ตลอดทั้งปี ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนตลอดทั้งปี จึงทำให้มีความสนใจที่จะทำการปลูกพืชผักแบบผสมผสานนี้ไว้ในพื้นที่ดินทำกิน
ในที่นี้ขอบอกวิธีการปลูกไผ่หวาน เพราะเป็นพืชที่ปลูกง่ายโตไวให้ผลผลิตเร็ว ออกหน่อนอกฤดู หน่อดก รสหวานหอมกรอบ อร่อย เปลือกบาง ให้เนื้อดี ไม่มีเส้นไย และเป็นพืชปลอดสารพิษ มีกรดยูริกต่ำ และสร้างรายได้เป็นอย่างดี การปลูกไผ่จะประสบผลสำเร็จ ต้องมีปัจจัยหลายอย่างประกอบกันคือดินดี น้ำดี ปุ๋ยดี ดูแลดี มีประสบการณ์ สำหรับสภาพพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการปลูกไผ่ตงหวาน ความจริงแล้ว ไผ่ตงหวานปลูกได้ในดินเกือบทุกพื้นที่ ยกเว้นพื้นที่น้ำท่วมขัง แต่จะชอบสภาพดินร่วนปนทรายมากที่สุด ไผ่ตงหวานเหมือนไม้ผลที่ไม่ชอบน้ำท่วมขัง แต่หากจะให้ผลผลิตหน่อไม้ออกนอกฤดู จะต้องมีแหล่งน้ำและน้ำเพียงพอตลอดปี
วัตถุประสงค์ ->
วัตถุดิบ (ถ้ามี) ->
อุปกรณ์ ->
1. หน่อไผ่บงหวาน 2. เตรียมพื้นที่/เตรียมดิน 3.ปุ๋ยคอก/ปุ๋ยหมักชีวภาพ 4.น้ำ
5.ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 และสูตร 46-0-0
กระบวนการ/ขั้นตอน->
การปลูก
ปลูกในระยะระหว่างต้น 2 เมตร ระยะระหว่างแถว 4 เมตร โดยขุดหลุมกว้าง 30 เซนติเมตร ยาว 30 เซนติเมตร ลึก 30 เซนติเมตร จากนั้นคลุกหลุมปลูกด้วยขี้เถ้าแกลบเพื่อเก็บความชื้นจะทำให้ไผ่บงหวานโตเร็วขึ้น ถ้าจะใช้ปุ๋ยคอกเก่ารองก้นหลุมก็ให้คลุกให้เข้ากันก่อน ใส่ปุ๋ยคอกรองก้นหลุมประมาณ 1 กำมือ ถ้าใส่มากกว่านี้ต้นจะเหลืองและโตช้าเพราะรากไผ่ที่เกิดใหม่มีน้อยและยังอ่อนอยู่ เมื่อเตรียมหลุมเสร็จก็นำต้นพันธุ์ที่เตรียมไว้ปลูก โดยให้กลบดินให้เสมอกับดินเดิม ถ้าปลูกในช่วงฤดูแล้งก็ปลูกลึกกว่าดินเดิมได้เล็กน้อย หลังจากปลูกให้รดน้ำทันทีให้ชุ่ม ต่อไปก็ให้รดน้ำทุกๆ 3 วันจนกว่าฝนจะตกชุก ถ้าปลูกตรงกับฤดูแล้งควรจะหาฟางข้าว หรือวัสดุคลุมดินอื่นๆคลุมที่โคนไผ่ จะทำให้ต้นไผ่ไม่ขาดน้ำและเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง
ไผ่บงหวานเป็นไผ่ที่ออกหน่อมากจึงมีความต้องการอาหารตามไปด้วย ยิ่งให้น้ำ ให้ปุ๋ยมาก ยิ่งเป็นปุ๋ยหมักชีวภาพสูตรสำหรับต้นไผ่ตงหวานยิ่งให้ผลผลิตเร็วขึ้น แต่ที่สำคัญคือการตัดแต่งต้นไผ่ ไม่ควรให้มีลำไผ่หรือไม้ไผ่แก่เกิน 3 ลำ ต่อกอ ถ้าไว้มากกว่านั้นจะทำให้ออกหน่อช้าเพราะมีอาหารบำรุงต้นไม่พอ รวมทั้งหน่อจะมีขนาดเล็กขายไม่ได้ราคา การดูแลไผ่ให้ออกหน่อนอกฤดูถือเป็นเรื่องที่สำคัญ หลังจากการแต่งกิ่งและลำไผ่ให้เหลือ 2-3 ลำ แล้วให้ใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพหรือปุ๋ยคอก รอบๆ ต้นประมาณ 30 กิโลกรัม ต่อต้น แล้วคลุมด้วยฟางหรือแกลบดำ เพื่อรักษาความชื้น และใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 และสูตร 46-0-0 สลับกันทุกๆ 2 สัปดาห์ โดยใส่ประมาณ 2 กำมือ ต่อกอ และเสริมด้วยน้ำหมักชีวภาพ สูตรเร่งหน่อ เร่งใบ พร้อมกับรดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ
การให้น้ำ
การให้น้ำควรจะให้น้ำด้วยการขังให้ท่วมแปลงแล้วปล่อยให้แห้งภายใน หนึ่งวัน หรือให้ด้วยระบบสปริงเกอร์ก็ได้ ซึ่งการให้ด้วยระบบสปริงเกอร์ จะช่วยทำให้ได้ไนโตรเจนในอากาศเพิ่ม ทำให้ไผ่ออกหน่อดกมากขึ้น ในช่วงนอกฤดู ควรให้น้ำ 3-4 วัน ต่อครั้งแต่ละครั้งเป็นเวลา 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ถ้าตรวจดูแล้วยังไม่ชุ่มก็ต้องเพิ่มเวลาไปอีก เพราะดินแต่ละที่ไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นช่วงฤดูฝน การให้น้ำควรดูตามสภาพอากาศ ถ้าฝนตกเรื่อยๆ ดินชื้นตลอดไม่ต้องให้น้ำ ถ้าฝนขาดช่วง สังเกตว่าดินแห้งก็ค่อยให้น้ำ แต่หากว่าจะทำไผ่บงหวานให้ออกหน่อทั้งปีหรือออกทะวายก็ต้องมีน้ำให้พอใช้ ช่วงที่หน่อไม้อื่นๆยังไม่ออก ถ้าเกษตรกรทำให้หน่อไม้ไผ่บงหวานออกมาได้ก็จะทำให้ได้ราคาสูง
การดูแลจัดการ
ใน 1 ปีต้องตัดแต่งต้นเก่าแก่ออกปีละ 1 ครั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายน โดยนำไปใช้ทำไม้ค้ำยันผลไม้และผักในสวน หรือจะนำไปใช้เผาถ่านไม้ไผ่ไว้ใช้ในครัวเรือน เหลือก็ขายมีรายได้เพิ่มอีกทาง ส่วนเศษใบเศษกิ่งไผ่ก็ทิ้งไว้ในแปลงปล่อยให้จุลินทรีย์ ย่อยสลาย กลายเป็นปุ๋ยให้ต้นไผ่ต่อไป นอกจากตัดแต่งต้นเก่าออกปีละครั้งแล้ว ช่วงเวลาฤดูฝนเป็นช่วงที่ต้องปล่อยให้หน่อไผ่ที่แทงออกห่างกอขึ้นลำ โดยกอหนึ่งจะปล่อยให้ขึ้นลำประมาณ 8-12 ลำ เพื่อเป็นลำแม่ที่จะให้หน่อในฤดูถัดไป ลำที่ปล่อยขึ้นใหม่จะมีแขนงออกตามข้อ ต้องคอยตัดแขนงทิ้ง แขนงที่อ่อนสามารถนำไปรับประทานได้ ในช่วงนอกฤดู แขนงจะไม่ออกเพราะหน่อไผ่ที่ออกมาจะถูกขุดขายตลอด ยิ่งขุดยิ่งออกมาเรื่อยๆ ซึ่งช่วงนี้ถือเป็นช่วงนาทีทอง ของคนที่ฝากปากท้องไว้กับไผ่ ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกคบกับไผ่พันธุ์ไหน ไผ่บงหวานจะเก็บผลผลิตได้ 20-50 กิโลกรัมต่อไร่ต่อวัน (ผลผลิตที่ได้ขึ้นอยู่กับการคัดเลือกสายพันธุ์และการดูแลจัดการที่ถูกต้อง) ช่วงนอกฤดูตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคมจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 60 บาท ช่วงในฤดูตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนตุลาคม อยู่ที่กิโลกรัมละ 40 บาท รายได้โดยเฉลี่ยของไผ่บงหวานไม่น้อยกว่า 75,000 บาท ต่อไร่ต่อปี ไผ่บงหวานจะออกหน่อง่าย ออกได้เรื่อยๆทั้งปี ระยะเวลาที่หน่อโตพอที่จะขุดได้ใช้เวลาเพียง 2-3 วัน ในช่วงนอกฤดูจะออกหน่อดก แต่ในช่วงฤดูฝนราวๆเดือนสิงหาคมเป็นต้นไปก็ต้องปล่อยให้ขึ้นลำไปบ้าง จึงเก็บผลผลิตได้น้อยกว่าในช่วงนอกฤดู ในช่วงฤดูฝนเมื่อหน่อไผ่ธรรมชาติออกมา ก็ยังขายหน่อได้ แม้จะได้ราคาไม่สูงมากนักไม่เหมือนในช่วงนอกฤดู แต่เมื่อเทียบกับการไม่ต้องมีต้นทุนเรื่องน้ำเพราะส่วนมากจะอาศัยน้ำฝน ซึ่งก็ถือว่าพอใช้ได้ ถ้าเป็นไผ่สายพันธุ์อื่นๆจะมีปัญหาการขายในช่วงฤดูฝน
ข้อพึงระวัง ->